"หากไทยยังไม่เอาไหน เราก็จะตามอนาคตไม่ทัน" ปาฐกถา อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน
ประชาธิปไตย เป็นระบอบแม่ แต่มีลูกออกมาร้อยพัน
ลูกประชาธิปไตยบางประเทศ
อาจไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับประชาธิปไตยของแม่ก็ได้
วันที่ 8 มีนาคม นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ปาฐกถา เรื่อง " อนาคตไทย อาเซียน และจีน" ในงานเสวนา มองอาเซียน-จีน หลัง 2015 ณ ห้องสยามนภาลัย ชั้น 6 โซนโรงภาพยนตร์ สยามภาวลัย สยามพารากอน ซึ่งจัดโดยสภาธุรกิจไทย-จีน
นายอานันท์ กล่าวว่า โลกเราผันแปรอย่างมาก จากความสัมพันธ์ไทย-จีนที่มีมา 700-800 ปี ตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดย700 ปี แรก เป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง อาจมีความสัมพันธ์ทางการค้า ทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน กับประชาชน และเพิ่งมาดัดจริต เรียกว่า ความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อไม่เกินร้อยปีที่ผ่านมา
ความสัมพันธ์ไทย-จีน นั้นมีความลึกซึ้ง ความเอาใจใส่ เห็นใจ และอดทนซึ่งกันและกัน แต่หากมาดูเหตุการณ์ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ไทย-จีน มีความเข้มข้นขึ้นมาตามลำดับ...
จีนเป็นประเทศมหาอำนาจ พลเมือง 1,300 ล้านกว่าคน ปัจจุบันมีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจเป็นที่ 2 ของโลกรองจากสหรัฐฯ เหนือญี่ปุ่นและเยอรมนี ความสำคัญทางเศรษฐกิจของยุโรปลดน้อยลงไป การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของบราซิล ก็เข้าไปแทนที่สหราชอาณาจักรแล้ว ในยุโรปก็เหลือแต่เยอรมนีที่ใหญ่มาก และฝรั่งเศส
หากเราดูเหตุการณ์ในเอเชียแปซิฟิก รวมทั้งเอเชียกลาง เราจะเห็นภูมิรัฐศาสตร์ของพื้นที่นี้ใหญ่กว้างขวาง ได้เปลี่ยนไปอย่างที่เรียกว่า จำไม่ได้ หรือไม่คาดถึงเลย
คนเอเชียมาต่อสู้กันเอง
ในระยะ ค.ศ.1945 สงครามโลกครั้งที่ 2 ความผันผวนของเอเชียมีอยู่มาก คนเอเชียรบกันเอง มีสงครามใหญ่ ที่เกาหลี มีสงครามเย็น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เหตุการณ์สำคัญของเอเชียเหตุการณ์หนึ่ง ก็คือการที่รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋ง พ่ายแพ้กองทัพจีนคอมมิวนิสต์ ต้องทิ้งจีนแผ่นดินใหญ่ไปตั้งรกรากอยู่ที่ไต้หวัน ประเด็นใหญ่ ใครคือตัวแทนของจีน รัฐบาลไทเป ก็บอกเป็นตัวแทนของจีน ส่วนรัฐบาล People's Republic of China ก็บอกว่า ตัวเองเป็นตัวแทนของจีนอยู่ที่ปักกิ่ง มีหลายประเทศรับรองจีนคอมมิวนิสต์ที่ปักกิ่ง แต่จำนวนไม่น้อยก็สนับสนุนรัฐบาลก๊กมินตั๋ง ต่อไป
แล้วก็เกิดสงครามเกาหลี มีการรบสู้กัน จีนสนับสนุนเกาหลีเหนือ สหรัฐฯ สนับสนุนเกาหลีใต้ ญี่ปุ่นก็เจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ เปลี่ยนสภาพจากประเทศที่แพ้สงคราม จนกระทั่งบัดนี้ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเป็นที่ 3 และจีนได้เข้ามาแทนที่
หลังสงครามเกาหลี สงครามเย็นก็ยังปรากฏอยู่ เกิดสงครามเวียดนาม รบกันระหว่างคนเอเชีย ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศยุโรปทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ อุดมการณ์ระบบนายทุน คนเอเชียมาต่อสู้กันโดยการส่งเสริมและสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจที่อยู่นอก อาณาเขตเอเชีย
จนกระทั่งสหรัฐฯ ถอนตัวทางด้านการทหารจากเอเชีย สงครามเวียดนามจบลง ค.ศ.1975
นั่นคือจุดเริ่มต้นของการที่ "สันติภาพกลับคืนสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้" อย่าง แท้จริง ไม่มีการสู้รบที่เกาหลี ไม่มีการสู้รบที่เวียดนาม ซึ่งเป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับอเมริกา หรือเป็นสงครามระหว่างรัสเซียบวกจีน และก็อเมริกา แต่โดยอาศัยประเทศเล็กๆ ในเอเชีย คนเอเชียตายกันมาก ตายเพื่อผลประโยชน์ส่วนใหญ่อยู่นอกเอเชีย
จุดเปลี่ยนสำคัญของเอเชียต่อมาก็คือ รัฐบาลจีนที่ปักกิ่ง ได้รับการรับรองจาก สหประชาชาติ เมื่อ ค.ศ.1972ว่าเป็นตัวแทนของจีนที่แท้จริงและสมบูรณ์ เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ประเทศนับสิบๆ ประเทศทั่วโลกกลับมารับรองจีน กลับมาสัมพันธ์ทางการทูตกับรัฐบาลจีนปักกิ่ง ซึ่งครอบครองแผ่นดินใหญ่มาเป็นเวลาช้านาน
จีนเปลี่ยนไปมาก จากประเทศที่ถูกมองว่า ก้าวร้าวคน พยายามมีอิทธิพลในประเทศต่างๆ ซึ่งผมก็ไม่เคยเชื่อในการกล่าวหานั้น แต่สมัยนั้นสงครามชวนเชื่อระหว่าง 2 ฝ่ายค่อนข้างจะรุนแรง ทุกครั้งที่มีสงครามอะไรเกิดขึ้น ผู้ประสบภัยคนแรกคือความจริง ความจริงหายไปจากโลก ของการต่อสู้ระหว่างมหาอำนาจ ประชาชนพลเมืองจำนวนมากในหลายๆ ประเทศตกอยู่ภายใต้อิทธิพลสงครามโฆษณา สงครามชวนเชื่อ
ทุกระบอบการปกครองมีทั้งดี-ไม่ดี
จนต่อมา 20 ปีสิ่งเหล่านี้ก็เบาบางลงไป และยังมีเหตุการณ์หลายอย่างในเอเชียที่ทำให้ฐานของการสร้างเสริมสันติภาพ ฐานของการเสริมสร้างความร่วมมือ การอยู่ร่วมกันโดยไม่ก้าวก่ายกิจการของแต่ละประเทศ ฐานของการเป็นเพื่อน คู่แข่ง การมองทุกอย่างให้พ้นจากตัวกูของกู ไปสู่ผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่ สิ่งที่เกิดขึ้นในเอเชีย ในระยะ 20 ปี เป็นนิมิตหมายที่ดีเกิดมีสมาคมอาเซียนขึ้นมา คือการรวมตัวระหว่าง 5 ประเทศ ต่อมาขยายเป็น 10 ประเทศ
5 ประเทศแรก เรียกได้ว่า ค่อนข้างต่อต้านคอมมิวนิสต์ทั้งนั้น แต่ 5 ประเทศหลังที่เข้ามาร่วม เวียดนาม ลาว กัมพูชา พม่า ยกเว้นบรูไน ประเทศเหล่านั้นครั้งหนึ่งก็ฝักใฝ่ลัทธิคอมมิวนิสต์ และมีระบอบการปกครองที่เอนเอียงไปทางคอมมิวนิสต์
แต่หากดูในเอเชียปัจจุบัน ไม่มีใครเชื่อว่า มีประเทศใดปกครองโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ 100% เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว ฉันใดฉันนั้นประเทศที่อ้างว่าเป็นประชาธิปไตย เหตุการณ์ของโลกและเหตุการณ์ของประเทศตัวเองก็พิสูจน์ชัดว่า ไม่มีใครที่อยากเป็นประชาธิปไตยแบบระบอบประธานาธิบดีอเมริกา
สรุปแล้วความจริงที่ปรากฏขึ้นก็คือ ไม่มีระบบไหนดีกว่าใคร ทุกระบบมีทั้งดีและไม่ดี...
ปัจจุบันทุกประเทศก็บอกฉันเป็นประชาธิปไตย หากถามรัสเซีย จีน เวียดนาม เขาก็บอกว่าเขาไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ซึ่งหากดูที่แก่นสาร เนื้อหาของระบอบการปกครองในปัจจุบัน สิ่งที่เราเห็นในรัสเซีย จีน ก็ดี แม้สิ่งที่เราเห็นในคิวบาก็ดี คือการผสมผสานของระบอบประชาธิปไตยและระบอบคอมมิวนิสต์
ในระบอบประชาธิปไตยเอง อย่างประเทศไทยก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยจ๋า 100% เหมือนอย่างภาษาอังกฤษ เป็นภาษาเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพูดที่ไหน พูดที่อังกฤษก็สำเนียงอีกอย่าง พูดที่อเมริกาก็สำเนียงอีกอย่าง พูดที่เมืองไทย ก็สำเนียงอีกอย่าง
"ฉันใดฉันนั้น ประชาธิปไตย ก็เป็นระบอบแม่ แต่มีลูกออกมาร้อยพัน ลูกประชาธิปไตยบางประเทศอาจไม่มีลักษณะคล้ายคลึงกับประชาธิปไตยของแม่ก็ได้ แต่เราอย่าไปกล่าวหาว่าเขาไม่เป็นประชาธิปไตย"
แต่ในท้ายที่สุดระบอบการปกครองของประเทศใดก็ตาม ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม อันนั้นเป็นแต่นามธรรม จะเป็นประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ โซเชียล ลิสต์ จะเป็นอะไรอะไรก็แล้วแต่ ในขั้นสุดท้ายก็คือรัฐบาลไหนก็ตาม จะเรียกตัวเองอย่างไรก็ตาม จะไม่มีความยั่งยืนถ้าหากไม่คำนึงถึงเสียงส่วนใหญ่ของประชาชน หากไม่ได้เป็นระบอบที่ให้คนส่วนใหญ่เข้ามามีส่วนร่วม ในระบอบการปกครองทางการเมือง และในระบอบการค้า
เราอย่าไปหลงลมในเรื่องของประชาธิปไตย คอมมิวนิสต์ โซเชียล ลิสต์ พูดได้ แต่สามารถจริงๆ รัฐบาลนั้นจะเรียกตัวเองอะไรก็แล้วแต่ปกครองด้วยความเป็นธรรมหรือไม่ เอาหลายๆ คนเข้ามาร่วมในระบอบหรือไม่ สามารถให้บริการขั้นพื้นฐานแก่ประชาชนได้หรือไม่ ไม่ว่าจะเรื่องการศึกษา การรักษาพยาบาล ที่พักอาศัย อาชีพ ให้ความเป็นธรรมกับสังคมหรือไม่ ใช้หลักธรรมาภิบาลหรือไม่ กฎหมายชุดเดียวกัน ไม่ว่าคน 2 สองจะแตกต่าง กันอย่างไรแต่กฎหมายบอกว่า คน 2 คนจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกัน จะเป็นรัฐบาลที่ดูแลสิ่งแวดล้อม เป็นรัฐบาลที่พยายามเพ่งเล็งไม่เฉพาะเรื่องระบอบเศรษฐกิจเท่านั้น แต่สร้างความเป็นธรรมในสังคมหรือไม่ ไม่ว่าความเป็นธรรมในเรื่องของความยุติธรรม การกระจายรายได้ การให้โอกาสเท่าเทียมกัน
สิ่งต่างๆ ที่พูดถึง แทบจะไม่มีการพูดถึงกันเลยเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ตอนนั้นมัวแต่จะสู้กันแต่ในเรื่องอุดมการณ์ มองฝันไป เป็นอุดมการณ์ที่ จริงๆ แล้ว ไม่ได้ให้ประโยชน์แก่ประชาชนอย่างแท้จริง และยั่งยืน
คนไทยและคนเอเชียต้องเริ่มตระหนักในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่เราประสบอยู่ขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอะไร ไม่ว่าคุณจะปกครองด้วยระบอบใด ไม่ว่าใครจะเป็นหัวหน้ารัฐบาล หรือไม่เป็น ปัญหาต่างๆ ที่ผมเอ่ยถึงเกิดขึ้นกับทุกประเทศ และเกิดขึ้นเพราะ "คน" เป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้อยเกิดจากระบบ
คุณเปิดโทรทัศน์ดู...ทั่วโลกความปั่นป่วน ความวุ่นวาย การเรียกร้อง การแสวงหา ไม่ว่าจะเป็นโอกาส หรือความจริง หรือความเที่ยงธรรม มันเกิดขึ้นทุกประเทศ ในเอเชียตื่นตัว ประเทศในตะวันตกก็ต้องปรับปรุงตนเอง ที่เคยคิดว่า ระบอบการปกครองของตะวันตกดีที่สุดในโลกมันไม่จริงแล้ว ปัญหาการค้า เศรษฐกิจ การเงิน ทั่วโลก เกิดขึ้นจากอเมริกา ยุโรปทั้งนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นที่เอเชีย แต่เอเชียเป็นผู้รับทุกข์ทั้งนั้น
ที่สู้รบกันเมื่อ 40-50 ปีที่แล้วก็ไม่ได้สู้รบเพื่ออุดมการณ์ที่เกิดขึ้นในเอเชีย คล้ายกับเอาคนเอเชียเป็นทหารรับจ้าง ไปสู้ป้องกันอุดมการณ์ที่เกิดขึ้น เจริญเติบโต ในประเทศตะวันตก
ความตระหนักในการรักชาติ ไม่ใช่คลั่งชาติ ความตระหนักในการต้องเป็นตัวของตัวเอง ความอิสระในความคิดมันแผ่กระจายไปทั่วโลก สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประเทศอาเซียน จีน และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ ต้องเฝ้าระวังและเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด
ปัญหาที่เกิดขึ้นในเมืองไทย ตะวันออกเฉียงใต้ ขณะนี้และอีก 20 ปีข้างหน้าจะเป็น จะเป็นปัญหาที่ไม่เหมือนปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ถามว่าอดีตยังมีความเจ็บใจ โกรธแค้น หรือไม่ มี แต่คนเราอยู่ไม่ได้ หากจะอยู่กับความหลังตลอดเวลา แต่ก็ต้องไม่ลืมความหลัง แต่เราต้องอยู่กับปัจจุบัน เพื่อนำไปสู่อนาคตที่เราอยากจะเห็น...
สอนคนไทยคิด และหัดฟังให้เป็น
จาก นั้น นายอานันท์ กล่าวถึงความเป็นมา การก่อตั้งอาเซียน และวิสัยทัศน์ผู้นำของประเทศที่มองการณ์ไกลว่า ภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยน จนเกิดนโยบายต่างประเทศที่ไม่ทิ้งเพื่อนเก่า แต่แสวงหาเพื่อนใหม่ ทำให้ไทยกับจีนสามารถมองหน้ากันได้
"คนไทยชอบจีน ชอบคนจีนด้วยความบริสุทธิ์ใจและความจริงใจ ขณะที่ญี่ปุ่น ผมไม่กลัวญี่ปุ่นจะถอนการลงทุนในไทย เพราะญี่ปุ่นรู้สึกดีกับเมืองไทย เราผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วยความเจ็บปวดน้อยที่สุดมาด้วยกัน"
เมืองไทยผ่านวิกฤติที่ไม่มีเหตุผล ค่อนข้างจะมาก และบ่อยครั้ง วิกฤติ จากความรู้สึก แต่ไม่ใช่วิกฤติที่จริงจังกับชีวิต ต้องเอาเป็นเอาตาย เราเดินข้ามได้โดยไม่ลืมของเก่า ไม่ลืมเหตุการณ์เก่า เราต้องก้าวข้ามให้ได้ เพราะหากเรายังเป็นนักโทษของเหตุการณ์ในอดีตก็จะไม่สามารถคิดอะไรใหม่ๆ นอกเหนือกรอบ แล้วเราก็จะไม่มีอนาคต
ในโลกนี้ไม่มีใครผิดร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีใครถูกร้อยเปอร์เซ็นต์ ในโลกนี้ไม่มีใครดีร้อยเปอร์เซ็นต์ หลายสิ่งหลายอย่าง เราต้องหัดฟังให้เป็น เพราะบางที่เราพูดกันแล้วเขาได้ยินแต่เสียง เขาไม่ฟัง ไม่เข้าใจ
คนไทยต้องหัดฟังให้เป็นก่อนหัดฟังให้เป็น ก็ต้องคิดเสียก่อน ว่าชีวิตเราจะรุ่งเรืองได้ สงบได้ ก็ต่อเมื่อเราอยากฟังเรา ฟังความเห็นที่ไม่ตรงกันด้วย ต้องฟังให้เป็น และหัดคิดให้ออก พูดของจริง อย่าพูดล่อลวงกัน อย่าพูดแต่ภาษาดอกไม้หรือกะล่อน สุดท้ายทำให้ถูก
สังคมไทยก็ตาม หากฟังไม่เป็น คิดไม่ออก พูดไม่จริง ทำไม่ถูก จะเป็นสังคมที่ตัดอนาคตของตัวเอง
(ฟังคลิปช่วงท้ายได้ที่ )
{youtubejw}SEGxPkoPfXY{/youtubejw}