หัวใจการบริหารจัดการโลจิสติกส์กับการรับมือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC)
ปัจจุบันโลจิสติกส์ได้รับความสนใจในฐานะที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไร (Profitability) สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจและการขยายการเติบโตทางธุรกิจ
ดังนั้นในอีกไม่ถึง 3 ปีข้างหน้าก่อนที่ 10 ประเทศในอาเซียนจะรวมตัวกันเป็นตลาดเดียวกัน เรื่องโลจิสติกส์จึงบทบาทและความสำคัญมากยิ่งขึ้นในการสร้างความได้เปรียบให้กับประเทศ ซึ่งประเทศไทยแม้จะเตรียมตั้งรับกับการเปิด AEC มานานแต่ปัจจุบันการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ยังอยู่ในระดับที่ไม่ดีมากนัก
จากรายงาน Logistics Performance Index 2010 ซึ่งเป็นรายงานฉบับล่าสุดที่จัดทำโดย World Bank นั้นไทยอยู่ในอันดับ 3 รองจากสิงค์โปร์และมาเลเซีย
ซึ่งเมื่อพิจารณาแต่ละประเทศใน 6 มิติสำคัญ คือพิธีการศุลกากร (Customs)โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure)ค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้า (International Shipments)ความสามารถของผู้ให้บริการโลจิสติกส์ (Competence of Logistic Service Providers)ความสามารถในการติดตามและตรวจสอบ(Tracking and tracing) และความตรงต่อเวลาในการจัดส่งสินค้า (Timeliness) จะพบว่า เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในอาเซียน แล้วประเทศไทยมีข้อได้เปรียบในด้านค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้าต่ก็จริง แต่ก็ยังมีจุดอ่อนคือการจัดส่งสินค้าไม่ตรงต่อเวลาเท่าที่ควร ดังนั้น ในการเตรียมรับมือกับ AEC ไทยจะต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจนในการเพิ่มประสิทธิภาพโลจิสติกส์ของประเทศ ซึ่งจะทำต้องทำทั้งในระดับ Macro และในระดับ Micro ไปพร้อมๆ กัน
ในระดับ Marco ถือเป็นความรับผิดชอบโดยตรงของรัฐที่จะต้องปรับปรุงระบบศุลกากรให้มีความรวดเร็ว โปร่งใส ทันสมัย รวมทั้งต้องมีปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานให้รองรับการขนส่งที่มีประสิทธิภาพทั้งด้านต้นทุนและการใช้พลังงาน เช่น การขนส่งทางน้ำและการขนส่งทางราง ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความสะดวกในการขนส่งสินค้าแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศได้อีกด้วย
ส่วนในระดับ Micro เช่น มิติด้านความสามารถด้านการบริการโลจิสติกส์ ความสามารถในการติดต่อตรวจสอบ และความตรงต่อเวลาในการจัดส่งสินค้า
ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ภาคเอกชนและผู้ให้บริการโลจิสติกส์ในแต่ละราย สามารถพัฒนาปรับปรุงได้ด้วยตนเอง เช่น การพัฒนาบุคลากรด้านโลจิสติกส์ที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถ การปรับปรุง business process ให้สอดคล้องกับสภาพการแข่งขันที่เพิ่มความเข้มข้นขึ้น ตลอดจนการพัฒนาระบบข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อช่วยสนับสนุนการตัดสินใจและการดำเนินธุรกิจซึ่งการพัฒนาในมิติที่เป็น Macro นี้ จะเป็นกำลังสำคัญในการยกระดับประสิทธิภาพของโลจิสติกส์ไทย
เพราะหัวใจของการบริหารจัดการโลจิสติกส์ที่แท้จริงแล้วคือ การหาความเหมาะสม(optimize) ในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเพื่อเลือกทางเลือก(Trade-off) ระหว่างปัจจัยต่าง ๆ
ดังนั้นการที่บริษัทต่างๆจะก้าวไปสู่ความสำเร็จในการบริหารโลจิสติกส์จึงอยู่ที่ บุคคลากรเป็นสำคัญ รองลงมาเป็นเรื่องของข้อมูลข่าวสาร และเทคโนโลยีสารสนเทศ ตามมาด้วยสินทรัพย์อุปกรณ์
ทั้งนี้ เนื่องจากทรัพยากรมนุษย์ถือเป็น Key Success Factors ของการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เนื่องจากเป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์และตัดสินใจว่ากลยุทธ์การจัดการโลจิสติกส์ใดเหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ใด ซึ่งในการจัดการเรื่องนี้ต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของมนุษย์ที่ไม่มีอะไรจะสามารถทดแทนได้
ในด้านข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ทันต่อเหตุการณ์ จะช่วยให้สามารถบรรลุหัวใจของการบริหารจัดการโลจิสติกส์ได้ เพราะการตัดสินใจใด ๆ หากไม่ได้ตั้งอยู่บนข้อมูลทีดี่แล้ว ย่อมมีโอกาสที่จะผิดพลาดได้สูง โดยเฉพาะการบริหารจัดการโลจิสติกส์ในสินค้าที่มีลักษณะพิเศษ เช่น สินค้า time-sensitive ที่ต้องการข้อมูลที่ถูกต้องและรวดเร็วเพื่อประกอบการวางแผนและตัดสินใจแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงทีที่อาจเกิดขึ้นในระหว่างที่สินค้าอยู่ในกระบวนการโลจิสติกส์
ขณะที่ เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอีกหนึ่งหัวใจในการบริหารจัดการโลจิสติกส์เพราะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้สามารถนำข้อมูลที่บริษัทมีอยู่เป็นจำนวนมากมาใช้ประโยชน์ในทางปฏิบัติได้ นอกจากนี้ เทคโนโลยีสารสนเทศยังช่วยให้ข้อมูลมีความทันสมัยอยู่เสมอ เช่น การ Update ข้อมูลแบบ realtime โดยอัตโนมัติ ทำให้การตัดสินใจในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ของธุรกิจตอบสนองต่อสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างเหมาะสมที่สุด
ธุรกิจโลจิสติกส์ ต้องมีการใช้สินทรัพย์และอุปกรณ์จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคลังสินค้า สถานที่บรรจุและคัดแยกสินค้า เครื่องมือยกขนสินค้า ยานพาหนะในการขนส่งสินค้าท่าเรือ ICD เป็นต้น เพื่อเคลื่อนย้ายสินค้าจากแหล่งกำเนิดไปยังแหล่งบริโภค ดังนั้น สินทรัพย์และอุปกรณ์จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจบรรลุหัวใจของการบริหารจัดการโลจิสติกส์ เพราะหากขาดสินทรัพย์และอุปกรณ์ที่เหมาะสมแล้ว ธุรกิจย่อมไม่สามารถดำเนินกิจกรรมโลจิสติกส์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อผนวกเข้ากับบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้บริษัทมากขึ้นและบุคลากรที่มีความรู้เป็นคนใช้งานข้อมูล เทคโนโลยีสารสนเทศ และสินทรัพย์อุปกรณ์ที่บริษัทได้ลงทุนไปอีกด้วย ดังนั้น ไม่ว่าบริษัทจะลงทุนเพื่อสร้างระบบข้อมูลที่เพียบพร้อม มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และมีสินทรัพย์อุปกรณ์ที่ดีเพียงใด แต่ถ้าขาดบุคลากร(Users)ที่ดีแล้ว ก็ยากจะลงทุนเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดตามที่ได้ตั้งใจไว้ได้
ทั้งหมดนี้ คือหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการโลจิสติกส์เพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือ AEC ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งหากภาคอุตสาหกรรมและรัฐตระหนักรู้ร่วมกันแล้วจับมือกันเดินไปข้างหน้า ก็เชื่อได้ว่าประเทศไทยจะมีต้นทุนโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งและพร้อมที่จะสร้างกำไรให้กับธุรกิจและประเทศในการเปิด AEC ในครั้งนี้