การดูแลสุขภาพในมุมมองฟิสิกส์ (3) : Interdisciplinary Therapy
การแก้ปัญหา ( Fix ) ทางสาธารณสุข คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึงการรักษา( Treatment ) ซึ่งแตกต่างจากการหาย( Cure ) นอกจากนี้ยังมีคำว่าการบำบัด( Therapy ) ซึ่งคนส่วนมากจะเข้าใจว่าเป็นการบรรเทาโรค โดยเฉพาะโรคที่ยอมรับกันแล้วว่าไม่หายขาด เช่นโรคกระดูกเสื่อม ต้องทำกายภาพบำบัดร่วม ความจริงแล้ว การรักษากับการบำบัดยังมีความแตกต่างในรายละเอียดอีก เช่น การรักษา ต้องทำให้ครบ จะกินยาก็ต้องให้ครบ กินๆหยุดๆไม่ได้ การประเมินผลต้องมีความรู้ โดยมากเป็นหน้าที่ของแพทย์ การมีส่วนร่วมจึงจำกัด (การปฏิบัติตัวตามคำแนะนำแพทย์ ถือเป็นความร่วมมือเสริมด้านการป้องกันมากกว่าการรักษา) ต่างจากการบำบัดที่ต้องการความร่วมมืออย่างมาก เพราะส่วนมากจะทำเป็นช่วงเวลา (course) ต้องมาทุกวัน การประเมินก็สามารถทำร่วมด้วยตัวเองเสมอ ถ้าไม่ดีก็หยุดเองได้
แต่มีข้อแตกต่างที่สำคัญสุดที่เกือบทุกคนไม่รู้ คือ การรักษาใช้ความรู้จากศาสตร์ชีวะเคมี ส่วนใหญ่จึงใช้ยา แต่การบำบัดเป็นการหันไปใช้ศาสตร์อื่นแทน เช่นกายภาพบำบัดใช้ศาสตร์ทางฟิสิกส์ โภชนะบำบัดใช้ความรู้ทางอาหาร เคมีบำบัดใช้ความรู้สารเคมีที่ทำลายเซลล์ได้ ฯลฯ การนำความรู้จากศาสตร์ที่ต่างออกไป มาควบคุมหรือแก้ไขอีกศาสตร์หนึ่งได้ เราเรียกว่า Interdisciplinary Therapy ถือว่าเป็นการพัฒนาที่ต้องมีความรู้ทั้งสองศาสตร์ดี เรียนรู้ถึงจุดเชื่อมโยงที่สามารถเข้าถึงกันได้ ตัวอย่างการพัฒนาแบบนี้ คือ ทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ เป็นการเชื่อมโยงระหว่างศาสตร์ของสสารกับศาสตร์ด้านพลังงาน ทำให้เกิดฟิสิกส์สมัยใหม่ และใช้สร้างนวัตกรรมใหม่ๆจำนวนมาก
การรวบรวมความรู้ด้านใดด้านหนึ่งจนกลายเป็นศาสตร์ได้นั้น ต้องมีหลักการและหลักวิชาที่เข้มแข็ง ไม่สามารถก้าวข้ามกฎได้ ดังนั้นการนำอีกศาสตร์หนึ่งไปใช้กับศาสตร์ที่สอง ก็ต้องไม่ขัดกับหลักการของศาสตร์ทั้ง 2 ด้วย นับเป็นความยากลำบากที่ต้องก้าวข้ามไปให้ได้ เพราะแท้จริงแล้ว หลักการที่ข้ามไม่ได้ก็คือจุดที่สร้างปัญหานั่นเอง ยกตัวอย่าง ปัญหาทางด้านสาธารณสุข เกิดจากโรคเรื้อรังเป็นส่วนใหญ่ หลักการคือต้องรักษาไปเรื่อยๆ ต้องคุมยา มิฉะนั้นมีอันตรายถึงชีวิต ถ้าเราเลือกเอาศาสตร์อื่นมาแก้ปัญหา เช่นเอาเศรษฐศาสตร์มาแก้ปัญหา ก็ต้องหาเงินให้พอ หากำลังคนให้พอ ในขณะที่ปัญหาเพิ่มขึ้นจากสังคมสูงวัย รายได้ลดลง ป่วยมากขึ้น จนกลายมาเป็นปัญหากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ความจริงเศรษฐศาสตร์ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับการรักษาเลย เป็นเพียงความเอื้ออาทรและความรับผิดชอบของผู้เกี่ยวข้อง(เงินค่ารักษาและคุณธรรม)ที่โยงถึงกัน การแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพจึงต้องแสวงหาความรู้เพิ่มขึ้นในมุมมองที่ต่างออกไป เพื่อเลือกศาสตร์ที่นำมาแก้ปัญหาได้ถูกต้อง
เมื่อปี พ.ศ. 2545 ศ.ดร.วิรุฬห์ สายคณิต เมธีวิจัยอาวุโสคนแรกของ สกว. เคยกล่าวไว้ว่า การศึกษาวิทยาศาสตร์แบบเดิม จะมีการแยกสาขากันค่อนข้างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา ฯลฯ แต่งานวิจัยในปัจจุบันมีลักษณะที่เจาะลึกในรายละเอียดมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ ชีววิทยา หรือ วัสดุศาสตร์ ทั้งหมดนี้ขนาดมันลดลงมา ตัวอย่างเช่น ทางฟิสิกส์ก็มุ่งลงไประดับของอะตอม ชีววิทยามุ่งลงไปในระดับภายในเซลล์ชองสิ่งมีชีวิต แต่การศึกษาลักษณะนี้เริ่มถึงทางตัน การลดขนาดวงจรคอมพิวเตอร์ ก็ใกล้ถึงขีดจำกัดที่จะไม่สามารถลดลงไปได้อีก หรือนักตัดต่อยีน เขารู้ว่ารูปร่างของดีเอ็นเอมีการเปลี่ยนแปลงในแต่ละขั้นตอน แต่ก็ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะปรากฎการณ์ที่ค้นพบหลายอย่าง ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยความรู้เฉพาะสาขาต้องใช้ศาสตร์มากกว่า 1 แขนงมาร่วมกันศึกษา แบบสหสาขาวิชา ซึ่ง Biological Physic ก็นำความรู้ทางฟิสิกส์ไปอธิบาย ปรากฎการณ์ทางชีวะวิทยาซึ่งกำลังเป็นทิศทางของงานวิจัยในศตวรรษใหม่นี้ และได้รับความสนใจจากนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก
ศาสตร์ฟิสิกส์ในร่างกาย( Living Internal physics ) เป็นเรื่องที่ใหม่และสับสนมาก ถึงแม้จะมีการตั้งแผนก Biophysics ในมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วโลก แต่ส่วนใหญ่ยังเป็นเรื่องการศึกษาฟิสิกส์(ภายนอก)ที่มีผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์ เช่น เอกเรย์ กัมมันตภาพรังสี โดยใช้ศัพท์ว่า “Medical Physics” หรือมีการศึกษาฟิสิกส์ในลักษณะโครงสร้างไม่ใช่การทำงานภายในของเซลล์ เช่น ผนังเซลล์มีคุณสมบัติทางฟิสิกส์อย่างไร? หรือเซลล์กล้ามเนื้อทำงานให้เกิดแรงได้แบบไหน? กลุ่มนี้ใช้ศัพท์ว่า “Biophysics หรือ Biological Physics” แต่ฟิสิกส์ที่ใช้เชื่อมโยงกับชีวะได้นั้น ต้องเป็นเรื่องฟิสิกส์ (ภายใน) คือ พลังงานที่ใช้ในเซลล์ ผมพยายามค้นหางานวิจัยด้านนี้ในอินเตอร์เน็ตมานานเกือบ10ปี เพิ่งพบงานวิจัยทั้ง3เมื่อปีที่แล้ว
Interdisciplinary Therapy เป็นการเลือกศาสตร์อื่นเพื่อนำมาแก้หรือบำบัดปัญหาสาธารณสุข ถ้าต้องการแก้ที่ต้นเหตุ ต้องเลือกใช้ศาสตร์ทางฟิสิกส์ โดยอาศัยการเชื่อมโยงในเรื่องคำสั่งพลังงาน และจุดเดียวที่เราเข้าไปควบคุมได้คือ กระดูกสันหลัง ซึ่งจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและทำให้เห็นผลได้เร็ว คือ ต้องทำอย่างต่อเนื่อง ให้ได้ 24 ชั่วโมง (เป็นไปได้ยาก) หรือทำมากที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยเรื่องที่ต้องทำมี 3 อย่าง
1. ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่ม เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย เพราะแรงที่ทำร้ายสุขภาพมาจากน้ำหนักตัวนั่นเอง แต่การลดน้ำหนักกลับเป็นเรื่องที่ซับซ้อนแบบเดียวกับวิธีทำงานในร่างกาย หลายคนเข้าใจว่า แค่เพียงลดอาหารที่กินก็พอ แต่ที่จริงไม่ง่ายอย่างนั้น ถ้าใครช่างสังเกตจะเห็นว่า การอ้วนมี2แบบ คือ อ้วนทั้งตัว กับอ้วนลงพุง (หรืออ้วนเฉพาะส่วน แบบแอ็บเปิ้ล หรือลูกแพร์) แบบหลังนี้ลดอาหารอย่างเดียวไม่พอ ต้องควบคุมท่าทางให้ตรง(อ่านข้อ2)ด้วย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจึงช่วยได้ มีงานวิจัยว่าการออกกำลังกายทำให้เกิดสาร Irisin ซึ่งมีหน้าที่สลายไขมันที่สะสม ให้กลายเป็นไขมันสีน้ำตาลที่นำไปใช้งานได้ การอ้วนเฉพาะส่วนจึงลดลงได้
2. การควบคุมท่าทางให้ตรงเหมือน “ท่ายืนตรงแล้วยืดอก” เป็นหลักการที่สำคัญที่สุดและทำยากที่สุดเช่นกัน คนป่วยจำนวนมากไม่ใช่คนอ้วน แสดงให้เห็นว่าสาเหตุใหญ่ของโรคเรื้อรังเกิดมาจากท่าทางที่ไม่ตรงไปกระตุ้นการทำงานที่ผิดปกติให้เกิดขึ้น (เราไม่สามารถทำนายได้ว่าคุณจะเป็นโรคอะไร? เพราะขึ้นอยู่กับท่าทางที่ผิด ไปกระตุ้นเส้นประสาทเส้นไหนและเส้นประสาทนั้นมีข้อต่อกระดูกสันหลังที่สึกร่วมอยู่ด้วย เลยช่วยป้องกันไม่ได้) สำหรับวิธีควบคุมท่าทางนั้น เราต้องแบ่งเป็น 2 ตอน คือ กลางวัน (ตอนทำงานหรือรู้สึกตัว) กับกลางคืน (ตอนนอนหรือหลับไม่รู้ตัว)
2.1 กลางวันมักจะเกี่ยวกับเก้าอี้ที่นั่งทำงาน ปกติเก้าอี้จะมีการออกแบบโดยสถาปนิกโดยใช้ความรู้เรื่อง Ergonomic design เพื่อให้เก้าอี้โอบสรีระตอนนั่ง เกิดความสบาย แต่สิ่งที่ขาดไป คือลักษณะที่ช่วยกระดูกสันหลังให้ตรง เก้าอี้ที่มีเบาะนั่งบุ๋มในช่วงครึ่งหลัง จะทำให้ก้นจมลงไป แต่สรีระของก้นเรากลมโค้ง การจมจึงไม่จมลงตรงๆเหมือนลิฟท์ กลับม้วนโค้งแล้วดึงหลังกับคอให้งอโค้งตาม เกิดเป็น Office syndrome หรือกระดูกเสื่อมจากที่ทำงาน คนที่ยืนมากกว่านั่งจึงมีแนวโน้มที่เป็นโรคน้อยกว่า (แต่ไม่รวมการยืนทำงานซึ่งมักจะก้มตลอด)
2.2 กลางคืนจะเกี่ยวข้องกับการนอน เป็นช่วงที่ร่างกายถูกโจมตีจากแรงมากสุด ยิ่งคนที่ทำผิดมายาวนานจนกระดูกเริ่มเสื่อมแล้ว จะเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอที่สุด ถ้าใครลองสังเกตสักนิด โรคเรื้อรังมักจะกำเริบตอนกลางดึก หรือเช้ามืด หลังจากนอนไปได้สักพักหนึ่ง ในโรคข้อสะโพกหัก อุบัติเหตุมักเกิดจากลุกไปเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนหรือเช้ามืด เราไม่เคยรู้มาก่อนว่าการนอนไม่ถูก ตื่นมาเราจะไม่ใช่คนเดิมต่อไปแล้ว ร่างกายจะแก่ลง ขาที่เคยยกได้ดี กลับยกข้ามธรณีประตูไม่พ้น หรืออาจเกิดขาอ่อนแรงล้มเอาดื้อๆ (ต้องสะสมการทำผิดมานานหลายปี)
หลักการนอนที่ถูก ต้องใช้หมอนให้ถูกตามสรีระตอนนอน หมายความว่าต้องเปลี่ยนหมอนทุกครั้งที่เปลี่ยนท่านอน หลายคนคิดว่าบ้าหรือทำไม่ได้ แต่สิ่งที่พูดนี้เป็นการบำบัดข้ามศาสตร์ที่ต้องทำให้ได้ การนอนหงายให้ใช้หมอนบาง หนาไม่เกิน 2นิ้วฟุตหรือวัดคร่าวๆด้วยนิ้วมือ คือไม่เกิน3นิ้วมือ ม้วนขอบล่างให้โค้งขึ้นมาตามสรีระของคอ (ถ้าไม่รู้ให้นอนหงายโดยไม่ใช้หมอน ใต้คอจะมีช่องว่างที่โค้งยาว ทำขอบล่างของหมอนให้โค้งเหมือนช่องว่างนี้) แต่เวลานอนตะแคง สังเกตระดับหูกับหัวไหล่จะห่างกันมาก เกือบ 5 นิ้วฟุต ต้องใช้หมอนที่มีความสูงเท่ากับความกว้างหัวไหล่ตอนนอน วิธีแก้ ให้ซื้อผ้าห่มอีกผืนมาพับให้กว้างยาวเท่ากับหมอนที่ใช้ แต่ความสูงให้เท่ากับความหนาของหมอนที่ขาดไป(โดยวัดความกว้างหัวไหล่ลบด้วยความหนาของหมอนใบเดิมที่นอน) เมื่อนำผ้าห่มไปสอดไว้ใต้หมอน หมอนที่เติมผ้าจะหนาเท่าหัวไหล่พอดี ที่สำคัญ เวลานอนต้องดึงหมอนให้ลงมาถึงบ่าต้วย (หลายคนชอบหนุนหมอนแค่หู คอมีช่องว่างไม่มีหมอนหนุนซึ่งผิด) ถ้าทำถูก สังเกตหัวจะขนานไปตามพื้นไม่เอียง ทำให้กระดูกคอและหลังตรงไปด้วย การนอนตะแคงต้องกอดหมอนข้างเพื่อกันเข่าบนตกห้อย จะทำให้หลังบิดเอียงตามไปด้วย ส่วนการนอนคว่ำต้องเลิกขาด
3. สองข้อแรกเป็นการแก้ปัญหาแบบตั้งรับ ค้นหาและตามแก้สิ่งที่ผิดในชีวิตประจำวัน ขึ้นอยู่กับความละเอียดและความสามารถของแต่ละคน ซึ่งมีไม่เท่ากัน ในคนที่แก้แล้วแก้อีก ก็ยังทำให้สุขภาพดีขึ้นไม่ได้ ต้องใช้วิธีรุก แย่งเวลาที่ทำผิดมาทำให้ถูก โดยการลุกยืนแล้วออกกำลังกาย เช่น เดินอยู่กับที่(ไม่ก้ม) หรือบริหารยืดตัวโดยยืนตรง ยืดอก ตาจ้องที่จุดสูงระดับสายตาไว้ (เพื่อบังคับให้คอตรงตลอดเวลาที่บริหาร) ประสานสอดนิ้วมือเข้าด้วยกัน ยกขึ้นเหนือหัวในลักษณะที่หงายมือขึ้น( คล้ายยืนบิดขี้เกียจแต่ตัวตรง) ชูเหยียดแขนขึ้นโดยนิ้วมือยังประสานกันอยู่ เหยียดให้สูงที่สุด ข้อศอกจะเหยียดตรง ค้างไว้5-10 วินาที แล้วเอาลง พักให้หายเมื่อย ทำซ้ำ20ครั้งนับเป็นหนึ่งรอบ วันหนึ่งทำได้ไม่จำกัดรอบ ยิ่งป่วยมากยิ่งต้องทำมาก ถ้าไม่สะดวกทำในที่ทำงาน ให้เอาเวลาว่างไปเดินตัวตรงหรือเดินชูเหยียดแขนไปด้วย อย่างน้อยวันละหนึ่งชั่วโมงขึ้นไป สามารถแบ่งทำได้ แต่รวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อวัน
บทสรุป การปฏิรูประบบสาธารณสุขให้ได้ผล จำเป็นต้องอาศัยความรู้ใหม่เพื่อแก้ปัญหา ถ้าความรู้ในศาสตร์นั้นถึงทางตัน ก็ต้องอาศัยการพัฒนาข้ามศาสตร์ ( Interdisciplinary ) จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีชัดเจน และเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้น แพทย์รุ่นเดียวกับผมอย่างน้อย2คน (นพ.สงวน และนพ.สมศักดิ์) มีเจตนาดีต้องการแก้ปัญหาสาธารณสุข แต่เลือกใช้ศาสตร์ที่ไม่ตรงมาแก้(เศรษฐศาสตร์และบริหารจัดการโดยสร้างแพทย์ครอบครัว)จึงเห็นผลไม่ชัด ดังนั้น สิ่งที่ต้องเพิ่มในแผนปฏิรูปใหม่ คือ ภายหลังจากการตรวจรักษาทุกครั้ง ต้องบังคับเพิ่มการบำบัดข้ามศาสตร์ด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้ไปทำเอง หรือนัดมาเข้าค่ายเพื่อทดลองวิธีบำบัดโดยลงมือทำด้วยตัวเอง หรือใช้ความรู้ใหม่นี้ไปสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อใช้ป้องกันการกลับมาของโรคหรือช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้