"ผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ" ผู้ตรวจฯ คุณธรรม "ต้องเก็บเพชรน้ำงามที่หล่นหาย"
เสมือนหนึ่งแผ่นเสียงตกร่อง ... วิกฤตจริยธรรมนักการเมืองถูกวิพากษ์อย่างซ้ำซาก สังคมไทยเริ่มชินชากับความเสื่อมถอย
ย้อนหลังกลับไปเพียง 1 เดือน ปรากฏ 2 อุบัติการณ์ที่หมิ่นเหม่ หนึ่งคือกรณีผู้นำประเทศ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รุดเจรจาลับ ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น นำมาสู่วาทกรรม “ว.5”อันน่าเคลือบแคลง
อีกหนึ่งคือกรณีของรองนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง อภิปรายในรัฐสภา ท่ามกลางข้อครหา “อาการไม่ปกติ”
นอกจากนี้ หากย้อนอดีตไปในช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีอีก 1 เหตุการณ์ซึ่งท้าทายมาตรฐานจริยธรรม กรณี นางนลินี ทวีสิน รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถูกแบล็กลิสต์จากประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เจ้าตัวประกาศกร้าวไม่ลาออกแม้มีชนักติดหลัง
ทั้งหมดคือกรณีศึกษา ... น่าสนใจความรู้สึกร่วมของสังคม
รัฐธรรมนูญปี 2550 ให้ความสำคัญกับ “คุณธรรมจริยธรรม” ของข้าราชการและผู้ใช้อำนาจรัฐอย่างยิ่ง โดยได้เพิ่มอำนาจให้ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” สามารถเสนอถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเอาผิดวินัยข้าราชการที่ฝ่าฝืนประมวลจริยธรรมได้
คำถามคือ ... อำนาจตามรัฐธรรมนูญจะเป็นเพียงเสือกระดาษอย่างที่แล้วๆ มาหรือไม่
คำตอบฉายภาพผ่านวิสัยทัศน์ของ นางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ในบรรทัดถัดไป
Q : อำนาจและบทบาทของผู้ตรวจการแผ่นดิน
รัฐธรรมนูญปี 2540 ซึ่งมีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่อาจจะดีที่สุด ได้วางพื้นฐานว่าต้องมีเรื่องคุณธรรมจริยธรรมบัญญัติเป็นแนวปฏิบัติให้กับข้าราชการและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต้องมีแผนคุณธรรมจริยธรรม แต่ตอนนั้นอาจยังไม่มีกลไกหรือหน่วยงานรับผิดชอบดูแลเรื่องนี้โดยตรง จึงเป็นสาเหตุให้รัฐธรรมนูญปี 2550 กำหนดบทบาทหน้าที่ให้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินดูแลมาตรฐานจริยธรรมคุณธรรม โดยกำหนดกรอบปฏิบัติเป็นกฎกติกาไว้สำหรับข้าราชการทุกประเภท ตั้งแต่ระดับล่าง ระดับท้องถิ่น จนถึงข้าราชการการเมืองระดับชาติ ต้องดำรงอยู่ภายใต้ประมวลจริยธรรม
พร้อมกันนี้ ได้ให้อำนาจสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินในการดูแลการฝ่าฝืนจริยธรรมของข้าราชการประเภทต่างๆ โดยจะแยกเป็น 2 ส่วน 1.เกี่ยวกับข้าราชการประจำ 2.ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งอยู่ในบทบัญญัติมาตรา 244 (2) โดยข้าราชการประจำจะมีคณะกรรมการจริยธรรมเป็นผู้กำกับดูแล และบังเอิญว่ารัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าถ้ามีการฝ่าฝืนจะถือว่าเป็นการผิดวินัยด้วย กลไกการลงโทษจึงไปอิงกับวินัย
แต่ถ้าเป็นข้าราชการผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กฎหมายไม่ได้เขียนเช่นนั้น โดยได้ให้อำนาจกับผู้ตรวจการแผ่นดิน ซึ่งบัญญัติไว้ในมาตรา 279 และ 280 ให้อำนาจผู้ตรวจการแผ่นดินดูแลในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการฝ่าฝืนจริยธรรม ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.การฝ่าฝืนธรรมดา 2.การฝ่าฝืนอย่างร้ายแรง
ถ้าเป็นกรณีฝ่าฝืนไม่ร้ายแรง ผู้ตรวจฯ มีอำนาจรายงานต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป เช่น ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับท้องถิ่น จะรายงานต่อผู้ว่าราชการจังหวัดหรือกระทรวงมหาดไทย แต่ถ้าเป็นกรณีฝ่าฝืนร้ายแรง ผู้ตรวจการผ่านดินมีอำนาจไต่สวนสาธารณะ
ถ้าเห็นว่าร้ายแรงจริงๆ ผู้ตรวจฯ ไม่มีอำนาจลงโทษ แต่สามารถส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) ทว่าปปช.ก็ไม่มีอำนาจในการลงโทษ แต่หากเขาเห็นตรงกันว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรง เรื่องก็จะถูกส่งต่อไปยังวุฒิสภา โดยวุฒิสภามีอำนาจถอดถอนด้วยเสียงส่วนใหญ่ 3 ใน 5
แต่หากเกี่ยวข้องกับ “นักการเมืองระดับชาติ” จำเป็นต้องอ้างอิงกับรัฐธรรมนูญและประมวลจริยธรรม เหตุเพราะนักการเมืองระดับชาติ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ผ่านการถวายสัตย์ปฏิญาณมาแล้ว โดยรัฐธรรมนูญให้ความสำคัญอย่างมากกับ “การแต่งตั้งผู้ใช้อำนาจรัฐ”
เราต้องมองว่าผู้ใช้อำนาจรัฐเป็นใคร เพราะผู้ใช้อำนาจรัฐคือผู้มีอำนาจในการดูแลประชาชนให้เกิดความเป็นธรรม ดังนั้นรัฐธรรมนูญมาตรา 279 (4) กำหนดไว้ว่าในการพิจารณากลั่นกลองแต่งตั้งผู้ที่จะต้องใช้อำนาจรัฐ ต้องคำนึงถึงพฤติกรรมทางจริยธรรมของคนเหล่านั้นด้วย
อย่างไรก็ดี ปรากฏว่าที่ผ่านมาเรายังคำนึงถึงเรื่องนี้น้อยเกินไป ฉะนั้นสิ่งที่ปรากฏชัดเจนคือการประพฤติมิชอบในวงราชการจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง มีเรื่องที่ถูกส่งไปยัง ปปช. และสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการทุจริต การใช้จ่ายเงินไม่โปร่งใส ตรงนี้ย้อนกลับมาที่ต้นเหตุคือคนที่ใช้อำนาจรัฐมีคุณธรรมจริยธรรมน้อยเกินไป
Q : หนักใจกับการทำหน้าที่ตรวจสอบจริยธรรมนักการเมืองหรือไม่
ไม่หนักใจ เพราะจริยธรรมมีอยู่ในสังคมไทยมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเด็กๆ พ่อแม่ก็บอกว่าอยากให้ลูกเป็นคนดี คุณครูก็สอนให้ลูกศิษย์เป็นเด็กดี เมื่อโตขึ้นก็มีการรณรงค์ให้เลือกคนดีเข้าสภา ดังนั้นเรื่องความดีไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นมาใหม่ มีท่านผู้ใหญ่เคยกล่าวเอาไว้ว่า “คุณธรรมจริยธรรมเสมือนเพชรน้ำงามที่มันหล่นหายไปจากสังคมไทย” นั่นเพราะเรามองกันแต่วัตถุนิยม อำนาจ และประโยชน์ส่วนตัวมากจนเกินไป
สิ่งที่ช่วยยืนยันคำกล่าวข้างต้นมีด้วยกันชัดเจนหลายกรณี หนึ่งในนั้นคือผลโพลที่เคยสำรวจทัศนคติของเด็กและเยาวชนที่เห็นว่าโกงนิดโกงหน่อยไม่เป็นไร ยอมให้โกงกันได้แต่ขอให้มีผลงาน ตรงนี้ถือเป็นทัศนคติที่ทำร้ายประเทศไทยอย่างรุนแรง
Q : คุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองระดับชาติในปัจจุบันเป็นอย่างไร
มันเลือนลางลงอย่างเห็นได้ชัด ภาพที่ชัดเจนในเรื่องนี้คือการที่ประเทศไทยถูกจัดลำดับเป็นประเทศคอรัปชั่นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ มันแสดงให้เห็นว่าในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติตนของผู้ใช้อำนาจรัฐจะคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมน้อยลง
Q : ทางออกคือ?
ต้องทำไป 2 ข้างพร้อมๆ กัน คือส่งเสริมจิตสำนึกในเรื่องคุณธรรมจริธรรมให้บังเกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเริ่มเน้นตั้งแต่วัยเด็ก เน้นไปที่สถาบันครอบครัว โรงเรียน สถานศึกษา เพื่อให้โตไปไม่โกง ในขณะเดียวกันต้องให้ความสำคัญกับการฝ่าฝืนจริยธรรม โดยเฉพาะผู้ใช้อำนาจรัฐ
Q : น้ำหนักในการทำงานท่ามกลางจริยธรรมของนักการเมืองระดับชาติที่เลือนลางลง
แน่นอนว่าต้องเข้มข้นขึ้น โดยต้องให้ความสำคัญกับการปลูกฝังจิตสำนักจริยธรรมให้กับคนในสังคม เพราผู้ตรวจการแผ่นดินมีหน้าที่ปลุกจิตสำนึกที่ดีให้กับผู้ใช้อำนาจรัฐในปัจจุบัน
Q : จะปลุกอย่างไรให้ตื่น
ต้องปลุกให้เห็นถึงความสำคัญของประมวลจริยธรรม ไม่ใช่เป็นแค่กระดาษ แต่ต้องทำให้มีชีวิตชีวาให้เกิดผลในทางปฏิบัติ โดยผู้ที่ใช้อำนาจรัฐต้องมีจิตสำนึกที่ดี มีความซื่อสัตย์สุจริต มีความสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ที่จะทำ อีกสิ่งสำคัญคือความซื่อสัตย์ ซึ่งต้องยึดประมวลจริยธรรมเป็นกรอบประพฤติปฏิบัติทั้งส่วนตัวและสาธารณะ
Q : ทำอย่างไรไม่ให้ประมวลจริยธรรมเป็นเพียงเสือกระดาษ
เรื่องสำนึกรับผิดชอบของแต่ละคนนั้นจะอยู่ที่เนื้อในของตัวเอง ตัวเราย่อมรู้ในสิ่งที่ถูกและไม่ทำในสิ่งที่ผิด มันเกิดขึ้นจากตัวเองเป็นหลัก
ในส่วนของข้าราชการการเมือง นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้กำกับดูแลการประพฤติปฏิบัติตนของข้าราชการ ต้องกำกับให้เป็นไปตามประมวลจริยธรรมที่ได้สร้างไว้
Q : การเมืองภาพใหญ่ มีกรณีหมิ่นเหม่ต่อจริยธรรมมากขึ้นหรือไม่
ยอมรับว่ามีมากขึ้น ในอดีตส่วนใหญ่จะเป็นการเมืองระดับล่างระดับท้องถิ่นซึ่งสังคมไม่ค่อยให้ความสนใจ แต่พอมาในระดับชาติ กลับพบทั้งในระดับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) รวมถึงข้าราชการระดับสูง
Q : มองกรณีที่สังคมกำลังเพ่งเล็ง ทั้งพฤติกรรมคล้ายอาการเมาในสภา หรือเสียงวิพากษ์ความไม่เหมาะสมกรณี ว.5 อย่างไร
ต้องถือว่าสังคมเริ่มให้ความสำคัญ เริ่มสนใจเรื่องคุณธรรมจริยธรรมของผู้ใช้อำนาจรัฐ จะเห็นได้ว่าสื่อให้ความสนใจอย่างยิ่ง เรามองย้อนกลับไปที่ต้นเหตุที่เกิดเรื่องต่างๆ ในประเทศไทย ท้ายที่สุดเพราะเรื่องคุณธรรมจริยธรรม
Q : ถ้าคะแนนเต็มคือ 100 ระดับคุณธรรมจริยธรรมของนักการเมืองไทยเป็นอย่างไร
คงจะให้คะแนนไม่ได้ แต่คงจะอ้างอิงสถิติคอรัปชั่นในข้างต้นเป็นภาพ
Q : วิกฤตจริยธรรมนำไปสู่ความขัดแย้ง ?
ถ้าย้อนกลับไปยังประมวลจริยธรรมของนักการเมืองคือสิ่งสำคัญ คือจิตสำนึกที่ดีทำให้เป็นแบบอย่างที่ดี พฤติกรรมส่วนตนต้องไม่เป็นที่คลางแคลงสงสัยทั้งต่อสังคมและประชาชน ถ้าผู้ที่จะแต่งตั้งได้ใช้หลักรัฐธรรมนูญมาตรา 279 (4) อย่างรอบคอบ จริงจัง เราจะได้นักการเมืองที่ดีมาบริหารประเทศ
Q : ยังมีโอกาสได้เห็นนักการเมืองที่ดีในสังคมไทย
ถ้าพูดจริงๆ เรามีนักการเมืองที่ดีอยู่มาก อย่าไปมองในแง่ร้าย เพียงแต่การแต่งตั้งนักการเมืองแต่ละท่าน หากเราย้อนมองไปว่าเมื่อท่านเข้าสู่ตำแหน่งแล้ว มีกรอบประมวลจริยธรรม ตั้งแต่วันแรกที่ท่านทำงานท่านเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ เราก็จะมีนักการเมืองที่ดีมากขึ้น โดยไม่มีความคลางแคลงใจของสังคม โดยเฉพาะประโยชน์ทับซ้อน ถ้าท่านได้เคลียร์ตัวเองแล้วท่านก็จะไม่มีข้อสงสัยใดๆ ความสง่างามของความเป็นรัฐมนตรีมีสูงขึ้น เกียรติภูมิของชาติก็จะมีมากขึ้น
Q : นอกเหนือจากจริยธรรม ชนวนความขัดแย้งอื่นมีอีกหรือไม่
ยังคงมีมาก เพราะความคิดเห็นที่แตกต่าง ซึ่งยังมีอยู่ได้ตามหลักประชาธิปไตย แต่แตกต่างอย่าแตกแยก ความแตกแยกเกิดจากเราไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ตอนนี้เราคำนึงถึงกลุ่ม พรรคพวก หรือตัวเองเป็นหลัก ถ้ายังคงมองอยู่เช่นนี้ก็คงไม่มีทางทำให้ความแตกแยกลดน้อยลง ถ้าเราถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ประเทศเป็นของเราทุกคน ถ้าเราคิดได้เช่นนี้ ความแตกแยกก็จะน้อยลง
Q : ความแตกแยกที่เกิดขึ้น ได้ยกระดับสู่ความรุนแรงแล้ว
คงต้องย้อนกลับไปที่เดิมคือคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเป็นเพชรน้ำงามที่หล่นหายไปจากสังคม คำถามคือเราจะทำอย่างไรให้เพชรน้ำงามกลับมาสู่ในเรือนใจของผู้คน สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องของนามธรรม
Q : เท่าที่ฟังดูก็ยังคงเป็นนามธรรมและทำได้ยาก
ยืนยันว่าไม่ใช่นามธรรม มันขึ้นอยู่กับการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง ลองย้อนกลับไปดูพันท้ายนรสิงห์ เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นว่าความรับผิดชอบสำคัญกว่าชีวิตด้วยซ้ำ คงต้องกลับไปพิจารณาพระปฐมบรมราชโอวาทของในหลวง เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม ผู้ใช้อำนาจรัฐต้องตระหนักทั้งคำว่าโดยธรรม และประโยชน์สุขของประชาชน
Q : ผู้ตรวจเข้มแข็งพอจะผลักดันให้เกิดธรรม
แน่นอนว่าไม่สามารถทำเพียงองค์กรเดียวได้ ตรงนี้ต้องช่วยกันเป็นเครือข่าย ทั้งสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา สถาบันศาสนา สถาบันชุมชน รวมไปถึงสถาบันการเมืองการปกครอง ที่สำคัญที่สุดคือเครือข่ายภาคประชาชนและสื่อมวลชน เป็นปัจจัยสำคัญในการเผยแพร่ความดี เผยแพร่คนดี สร้างค่านิยมใหม่จนเป็นค่านิยมหลัก ยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องและถูกกฎหมาย ตรงนี้คือหัวใจ
Q : นอกจากการปลุกจิตสำนึก ควรเพิ่มบทลงโทษในกฎหมายให้รุนแรงขึ้น
กฎหมายเป็นสิ่งดี เป็นกติกาของสังคม ถ้ากฎหมายไม่ดีผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าล้าสมัยไม่เป็นธรรม ก็จะส่งให้ศาลปกครองสูงสุด
Q : กระแสการแก้กฎหมายจะเป็นจุดแตกหักในระยะเวลาอันใกล้หรือไม่
ที่จริงแล้วต้องย้อนกลับไปมองว่าเราจะแก้อะไร เพื่อประโยชน์ส่วนรวมแค่ไหน ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
Q : ประเทศนี้ยังมีความหวัง
ต้องมีความหวัง ถ้าไม่มีความหวังประเทศนี้ก็จะต่ำลงไปเรื่อยๆ ถามว่าเราจะยอมปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้จริงๆ หรือ ต้องช่วยกันอย่าทำให้ประเทศต้องช้ำไปกว่านี้เลย