บทเรียนจาก จอห์น เฮนรี่ : ผู้พลีชีพเพื่อเอาชนะเทคโนโลยี
ภาครัฐหรือไม่ว่าใครก็ตามต้องไม่มองเทคโนโลยีเป็นแค่ “กล่องดำ” หรือ “ ของวิเศษ” เท่านั้น แต่ควรมองในมุมของผลกระทบที่คาดไม่ถึงซึ่งได้แก่ “ความเป็นพิษ” ของเทคโนโลยีควบคู่กันไปด้วย
จอห์น เฮนรี่ เป็นชายชาวอเมริกันซึ่งคาดว่ามีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1840 ถึง 1870 หลังจากพ้นจากภาวะสงครามเขาได้เข้าทำงานกับกับ บริษัท Chesapeake & Ohio Railway ซึ่งกำลังขยายทางรถไฟจาก อ่าวเชซาพีค( Chesapeake Bay) ไปยังหุบเขาโอไฮโอ ( Ohio Valley) (ปัจจุบันสถานีรถไฟเชซาพีคเป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟ ในรัฐแมรีแลนด์)
ด้วยความสูง 6 ฟุตและน้ำหนักกว่า 200 ปอนด์จึงทำให้ จอห์น เฮนรี่ เป็นมนุษย์ผิวสีที่ทรงพลังอย่างยิ่ง เขาทำหน้าที่เป็นกรรมกรที่ใช้ค้อนเป็นเครื่องมือประจำกายที่รู้จักกันในชื่อว่า Steel driver หรือ มนุษย์ค้อน ในการสร้างทางรถไฟ
การก่อสร้างทางรถไฟดำเนินไปได้ด้วยดีจนมาเจอกับอุปสรรคขวางหน้า นั่นคือภูเขาลูกใหญ่ชื่อว่า บิก เบนด์ (Big Bend) ที่ตั้งตระหง่านปิดเส้นทางอยู่ ผู้บริหารบริษัทเลือกที่จะเจาะอุโมงค์แทนการสร้างทางอ้อมภูเขาไปอีกด้านหนึ่งซึ่งไกลออกไปราว 8 ไมล์ การสร้างอุโมงค์จำเป็นต้องเจาะหินเพื่อทำการจุดระเบิดพื้นที่อุโมงค์ ซึ่งถือว่าเป็นงานหนักและอันตราย คนงานนับร้อยต้องจบชีวิตลงที่อุโมงค์แห่งนี้และร่างอันไร้วิญญาณของพวกเขาเหล่านี้ได้ถูกฝังเอาไว้บริเวณใกล้ๆภูเขานั่นเองรวมทั้งร่างของ จอห์น เฮนรี่ ด้วย
จอห์น เฮนรี่ ถือว่าเป็นคนงานที่มีความแข็งแกร่งและทำงานได้เร็วที่สุด ภายใน 12 ชั่วโมงเขาสามารถขุดเจาะอุโมงค์ได้ไกลถึง 10 ฟุตหรือบางครั้งอาจถึงถึง 20 ฟุตเลยทีเดียว เขาจึงเชื่อมั่นในพลังอันเหลือเฟือของเขาเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงกลายเป็น ฮีโร่ ในตำนานของการสร้างทางรถไฟสายนี้
วันหนึ่งเมื่อเครื่องขุดเจาะอุโมงค์ด้วยพลังไอน้ำซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดมาก่อนหน้านี้หลายปีมาถึงอุโมงค์ บิก เบนด์ เซลแมนผู้ที่นำเครื่องขุดเจาะมายังอุโมงค์คุยโอ้อวดว่าเครื่องขุดแบบไอน้ำเครื่องนี้สามารถจะขุดอุโมงค์แทนแรงงานมนุษย์ได้ทุกคนไม่ว่าใครก็ตาม ซึ่งถือเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของบรรดาเหล่าคนงานสร้างทางซึ่งก็รวมถึงจอห์น เฮนรี่ ด้วย และหากเครื่องจักรเข้ามาใช้แทนแรงงานคนได้จริง คนงานทั้งหลายก็คงตกงานอย่างแน่นอน
จอห์น เฮนรี่ เชื่อว่าไม่มีพลังใดๆจะแข็งแกร่งพอที่จะขุดอุโมงค์ได้เร็วเทียบเท่าตัวเขาได้และหากเขาชนะเอาชนะเครื่องจักรได้พวกกรรมกรก็จะยังคงมีงานทำอยู่ต่อไป ดังนั้นเพื่อพิสูจน์ถึงพลังจากกล้ามเนื้อของฮีโรผู้แข็งแกร่ง วันหนึ่งการประลองกำลังระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักรจึงเกิดขึ้น ผลปรากฏว่า จอห์น เฮนรี่ สามารถเอาชนะเครื่องเจาะอุโมงค์ไอน้ำในการแข่งขันวันนั้นได้ท่ามกลางความยินดีปรีดาของเหล่าคนสร้างทางรถไฟ แต่ความยินดีปรีดากลับกลายเป็นความโศกเศร้าเมื่อ จอห์น เฮนรี่ หมดลมหายใจจากความเหนื่อยอ่อน
บางตำนานก็ว่าหัวใจล้มเหลวหลังจากการแข่งขันวันนั้น ทิ้งให้ภรรยาม่ายกับลูกน้อยอยู่ข้างหลังตามลำพัง มีเกร็ดเรื่องผีฝรั่งเล่าเพิ่มเติมว่า วันดีคืนดีคนงานสร้างทางรถไฟในยุคหลังๆ เคยได้ยินเสียงตีค้อนเหล็กและเคยเห็นเงาคล้ายกับ จอห์น เฮนรี่ มาวนเวียนอยู่ในอุโมงค์ให้เห็นอยู่เป็นครั้งคราว จนคนงานท้องถิ่นต่างพากันขยาดจนไม่กล้าทำงานในอุโมงค์อีกต่อไป
ชื่อเสียงของ จอห์น เฮนรี่ ยังคงอยู่ในความทรงจำของชาวอเมริกันตลอดมา ในที่สุดได้มีการสร้างรูปปั้นเพื่อระลึกถึง จอห์น เฮนรี่ ไว้ที่ชุมชน ทาลคอทท์ (Talcott) ของรัฐเวส เวอจิเนียร์(West Virginia) เมื่อปี 1972 ซึ่งเป็นปีที่อุโมงค์ปิดการใช้งานลง ก่อนที่รูปปั้นจะถูกย้ายมาไว้ที่สวนสาธารณะหน้าอุโมงค์ บิก เบนด์ ในภายหลัง
แม้ว่า จอห์น เฮนรี่ จะมีชัยในการแข่งขันกับเครื่องจักรในครั้งนั้น แต่ในอีกไม่กี่ปีต่อมามนุษย์ก็ยอมรับในความสามารถของเครื่องจักรเพื่อนำมาใช้ทำงานแทนมนุษย์โดยปราศจากความลังเลใดๆ ชื่อของ จอห์น เฮนรี่ จึงถือว่าเป็นหนึ่งในตำนานของผู้ที่ต่อต้านเทคโนโลยีเท่าที่มีการบันทึกไว้
ตำนานของ จอห์น เฮนรี่ มีทั้ง เรื่องเล่า หนังสือ ภาพยนตร์และบทเพลง แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องจริงก็ตาม เมื่อพูดถึงมนุษย์ที่กล้าท้าทายเทคโนโลยีผู้คนก็จะนึกถึง จอห์น เฮนรี่ เสมอ เขา จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความแข็งแกร่ง ชื่อและภาพของเขาถูกใช้เป็นส่วนร่วมในกิจกรรมทางวัฒนธรรม แรงงานและสิทธิมนุษยชนอยู่เป็นครั้งคราว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้นำภาพของ จอห์น เฮนรี่มาใช้แสดงเป็นสัญลักษณ์ของ ขันติธรรมทางสังคม(Social tolerance) และความหลากหลายของชาวอเมริกัน
ย้อนกลับไปเกือบ 60 ปี ก่อนหน้าที่จะถึงยุคของ จอห์น เฮนรี่ มีกลุ่มคนในประเทศอังกฤษที่รู้จักกันในชื่อของ ลัดไดต์ (Luddite) ซึ่งเป็นพวกทำงานในอุสาหกรรมสิ่งทอ ทำการประท้วงนายจ้างโดยการทำลายเครื่องจักร คนทั่วไปรับรู้กันว่าพวก ลัดไดต์ ต่อต้านการเข้ามาของเครื่องจักรเพราะจะทำให้พวกเขาตกงาน ชื่อของลัดไดต์ จึงกลายเป็นเครื่องหมายแห่งการต่อต้านความก้าวหน้าของเครื่องจักรนับตั้งแต่นั้นมา
อย่างไรก็ตามงานค้นคว้าหลายต่อหลายชิ้นชี้ไปในทางตรงข้ามว่า พวก ลัดไดต์ นั้น มิใช่เป็นผู้ขัดขวางการใช้เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตเสียเลยทีเดียว เพราะพวกลัดไดต์จำนวนมากเป็นผู้ที่มีทักษะสามารถใช้เครื่องจักรได้เป็นอย่างดี การทำลายเครื่องจักรของคนงานทอผ้านั้นเกิดจากการประท้วงนายจ้างที่ทำเงินได้มากมายจากการใช้เครื่องจักร แต่เงินที่ได้กลับเข้ากระเป๋าของนายจ้างโดยมิได้เผื่อแผ่มาถึงพวกเขาด้วย รวมทั้งการถูกลดค่าจ้างและนำแรงงานที่ไร้ทักษะมาควบคุมเครื่องจักรแทนคนงานฝีมือซึ่งความมีทักษะของพวกเขาที่สะสมมายาวนานนั้นคงต้องสูญหายไปด้วย พวกลัดไดต์เห็นว่าการกระทำของนายจ้างนั้น คือการหลอกลวงและฉ้อฉล เพื่อหลีกเลี่ยงวิธีปฏิบัติของมาตรฐานแรงงาน
พวกลัดไดต์เองเคยเจรจากับนายจ้างขอให้นำเครื่องจักรมาใช้อย่างค่อยเป็นค่อยไปและเป็นขั้นเป็นตอนรวมทั้งขอให้มีสวัสดิการอื่นๆที่เป็นผลพวงจากการใช้เครื่องจักร แต่ข้อเสนอของพวกลัดไดต์ถูกปฏิเสธ ในช่วงเวลาเดียวกันประเทศอังกฤษกำลังอยู่ในภาวะสงครามนโปเลียน จึงเป็นตัวเร่งให้การประท้วงบานปลายจนต้องใช้กองทัพเข้ามาปราบปรามในที่สุด
นักเศรษฐศาสตร์และนักเทคโนโลยียุคหลังมักพูดถึงพวก ลัดไดต์ ว่า เป็นพวกที่เข้าใจผิดในเรื่องเทคโนโลยีเพราะเท่าที่ผ่านมาเทคโนโลยีไม่ได้ทำลายงานของมนุษย์ เนื่องจากการเพิ่มสินค้าและบริการด้วยเครื่องจักรหมายถึงราคาสินค้าและบริการจะถูกลง ซึ่งจะผลักดันให้ความต้องการเพิ่มขึ้นและการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นเมื่อพูดถึงคำว่าเครื่องจักรทำให้คนตกงานจึงมักอ้างถึงคำว่า “ความเข้าใจผิดของลัดไดต์” (The Luddite Fallacy) เสมอ
การที่โลกเข้าสู่เครื่องจักรกลยุคที่สอง(Second machine age) ซึ่งเทคโนโลยีจะทำทุกเกือบสิ่งทุกอย่างแทนที่มนุษย์เพื่อให้มนุษย์ไปทำงานอย่างอื่นที่สร้างสรรค์กว่างานเดิม รวมทั้งจะสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจให้กับโลกนี้อย่างมหาศาลและสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีอย่างมากมายนั้น ถ้ามองโลกในแง่ดีดูเหมือนว่าเทคโนโลยีจะทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้น
ในขณะเดียวกัน มนุษย์จะต้องเผชิญกับผลกระทบที่คาดไม่ถึงจากเทคโนโลยีอีกร้อยแปด ตั้งแต่ การตกงาน การเสพติด การคุกคามทางไซเบอร์ การคุกคามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ การเจ็บป่วยจากเทคโนโลยี รวมทั้งภัยอื่นๆที่มองไม่เห็น ฯลฯ มนุษย์ในยุคนี้จึงมีทางเลือกไม่มากนักในการใช้ชีวิตในโลกที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือการพึ่งพาซึ่งกันระหว่างมนุษย์กับเครื่องจักร นั่นคือนำสิ่งที่มนุษย์ทำได้ดีที่สุดไปเสริมกับส่วนด้อยของเครื่องจักรและนำสิ่งที่เครื่องจักรทำได้ดีที่สุดมาเสริมทักษะของมนุษย์หรืออีกนัยหนึ่งมนุษย์ต้องใช้ยุทธศาสตร์หาวิธีสร้างคุณค่าของงานที่มนุษย์ทำอยู่ให้มีคุณค่าเพิ่มขึ้นโดยยุทธศาสตร์การเพิ่มคุณค่างาน(Augmentation strategy) แทนที่จะให้งานนั้นถูกทดแทนด้วยเครื่องจักรเสียทั้งหมด
แม้ว่าเทคโนโลยีในสมัยเครื่องจักรกลยุคแรก(First machine age) ซึ่งเป็นยุคของเครื่องจักรไอน้ำ จะทำให้มีการสร้างงานเพิ่มขึ้นจริงจากปฏิกิริยาชดเชยของเทคโนโลยี แต่การเข้าสู่เครื่องจักรกลยุคที่สอง(Second machine age) นั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างกันค่อนข้างมาก เพราะเรากำลังเข้าสู่ยุคที่ทำให้เครื่องจักรทำงานประเภทใช้การรับรู้(Cognitive task) มากกว่าใช้แรงงาน
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีทุกยุคมักมีทางออกให้กับมนุษย์เสมอและสร้างโอกาสให้กับมนุษย์อยู่ตลอดเวลา สิ่งที่น่ากังวลต่อการใช้เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันก็คืองานที่สร้างขึ้นใหม่จากเทคโนโลยีแม้จะเกิดขึ้นได้เร็วแต่อาจไม่สมดุลกับงานเทคโนโลยีเหล่านี้ได้ทำลายลงไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งการสูญเสียแรงงานที่จะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนบางกลุ่มบางอาชีพจะก่อปัญหาทางสังคมให้กับประเทศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากไม่มีการสร้างสมดุลระหว่างการสูญเสียงานจากเทคโนโลยีกับการสร้างงานที่ได้รับการชดเชยจากเทคโนโลยี
จากผลการศึกษาของ ศาสตราจารย์ Erik Brynjolfsson จากสถาบัน MIT Sloan และ Andrew McAfee นักวิจัยจากสถาบัน MIT แห่งสหรัฐอเมริกา พบว่าเส้นกราฟการเพิ่มผลผลิตจากแรงงาน(Labor Productivity)และเส้นกราฟการเพิ่มขึ้นของการจ้างงาน(Employment) ของสหรัฐอเมริกา ที่เคยมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญนับตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นเริ่มที่จะมี “รอยแยกขนาดใหญ่” นับตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 เป็นต้นมา ซึ่งหมายถึงการการผูกติดกันระหว่างปัจจัยผลผลิตกับปัจจัยการจ้างงานมีแนวโน้มที่จะไม่เป็นความจริงอีกต่อไป ผู้วิจัยเรียกรอยแยกนี้ว่าว่า The Great Decoupling ผู้วิจัยเชื่อว่าทั้งการเติบโตของผลผลิตและความอ่อนแอในภาคแรงงานส่วนหนึ่งเกิดจากแรงขับเคลื่อนของเทคโนโลยีนั่นเอง สอดคล้องกับข้อมูลการศึกษาของ McKinsey Global Institute เผยแพร่เมื่อต้นปี 2017 ที่ประมาณการว่า “ ประมาณครึ่งหนึ่งของงานที่มนุษย์ทำในโลกนี้มีแนวโน้มที่จะถูกใช้เทคโนโลยีทดแทนภายในปี 2055”
การศึกษาของผู้วิจัยต่อเรื่องการทดแทนแรงงานมนุษย์ด้วยเครื่องจักรอัตโนมัติไม่ได้มีคนเห็นด้วยทั้งหมดเพราะบางคนยังเชื่อว่าเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ(Automation) สามารถสร้างงานให้มนุษย์มากกว่าการทำลายงานของมนุษย์ จึง เป็นโอกาสของผู้มี ทักษะ พรสวรรค์ และโชคเข้าข้าง แต่เราก็ไม่ควรละเลยถึงคำเตือนที่สำคัญของ “รอยแยกขนาดใหญ่” และแนวโน้มการถูกเครื่องจักรเข้ามาแย่งงาน เพราะเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐอเมริกาประเทศเดียว แต่มีแนวโน้มเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆด้วยเช่นกัน
หากแนวโน้มนี้ยังคงเกิดขึ้นต่อไปภายหน้า คำว่า “ ความเข้าใจผิดของลัดไดท์” อาจจะไม่เป็นความจริงสำหรับเครื่องจักรกลยุคที่สองซึ่งเป็นเครื่องจักรที่ใช้ความคิด ทักษะ ตลอดจนการตัดสินใจภายใต้ระบบอัตโนมัติและปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligent: AI) อีกต่อไป เมื่อถึงวันนั้นบาปที่พวกลัดไดท์ได้รับเมื่อสองร้อยปีที่แล้วอาจจะถูกชำระด้วยความจริงจากเทคโนโลยีในยุคนี้ก็เป็นได้
บทเรียนจาก จอห์น เฮนรี่ และ ลัดไดท์ ล้วนเป็นประสบการณ์อันขมขื่นจากการใช้เทคโนโลยีในยุคต่างๆที่ผ่านมาและมักถูกใช้เป็นบทเรียนเพื่อเตือนสติต่อการนำเทคโนโลยีมาใช้งานอยู่เสมอ การใช้ทฤษฎี “ความเข้าใจผิดของลัดไดท์” ในอดีตมาเป็นสมมุติฐานว่าเทคโนโลยีในสมัยเครื่องจักรกลยุคที่สองจะสร้างงานให้กับมนุษย์แบบที่เคยเป็นนั้นจึงเป็นเดิมพันที่สูงยิ่งของผู้บริหารประเทศต่อการนำเทคโนโลยีมาขับเคลื่อนประเทศและเป็นความเสี่ยงต่อการสูญเสียงานและการสร้างความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์หากยังไม่มีการสร้างความเข้าใจต่อการใช้เทคโนโลยีและยุทธศาสตร์การสร้างงานที่ต้องการทักษะใหม่ขึ้นมารองรับได้ทันและทั่วถึง
เทคโนโลยีกลายเป็นปัจจัยการดำรงชีพที่เราไม่สามารถปฏิเสธได้ เราจึงไม่สามารถต่อต้านเทคโนโลยีด้วยการใช้กำลังแข่งขันกับเครื่องจักรแบบ จอห์น เฮนรี่ หรือทำลายล้างเครื่องจักรแบบพวกลัดไดต์ได้ แต่เราต้องอยู่กับเทคโนโลยีอย่างมีสติ
ดังนั้นภาครัฐหรือไม่ว่าใครก็ตามต้องไม่มองเทคโนโลยีเป็นแค่ “กล่องดำ” หรือ “ ของวิเศษ” เท่านั้น แต่ควรมองในมุมของผลกระทบที่คาดไม่ถึงซึ่งได้แก่ “ความเป็นพิษ” ของเทคโนโลยีควบคู่กันไปด้วย
การที่ภาครัฐเร่งประชาสัมพันธ์ให้คนไทยใช้เทคโนโลยีตามสื่อต่างๆอย่างเอิกเกริกนั้นเป็นเหมือนดาบสองคม ในแง่ดีอาจกระตุ้นให้คนไทยตื่นตัวและเห็นประโยชน์ของเทคโนโลยี แต่อีกด้านหนึ่งดูเหมือนว่าภาครัฐกำลังใช้กลยุทธ์ทางการตลาดรายวันสร้างกระแสการใช้เทคโนโลยีเพียงเพื่อหวังผลเฉพาะหน้ามากกว่าการวางรากฐานทางด้านการใช้เทคโนโลยีระยะยาว หากเป็นเช่นนี้ผลประโยชน์ต่างๆที่คนไทยควรได้รับอย่างทั่วถึงอาจจะถูกฉกฉวยไปโดยคนเพียงกลุ่มเดียว คำพูดจากภาครัฐที่ว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั้นจึงเป็นแค่คำพูดโก้ๆซึ่งน่าจะยังห่างไกลความเป็นจริงนัก