วสิษฐ เดชกุญชร : ตำรวจอาชีพรอง
วาทะที่ไม่มีใครคาดหมายว่าจะได้ยินจากปากของตำรวจคนใด ไม่ว่า จะเป็นนายตำรวจสัญญาบัตรหรือชั้นประทวน ที่ยังอยู่ในหรือนอกราช การคือ “ ตลอดชีวิตรับราชการของผม เกือบจะเรียกได้ว่าอาชีพตำรวจนี่ ถือว่าเป็นไซด์ไลน์ อาชีพหลัก ๆ ผมคือทำธุรกิจ ซึ่งคนในแวดวงธุรกิจรู้ เรื่องดี โดยเฉพาะเรื่องหุ้น ผมนิยมมาก”
เจ้าของวาทะนี้คือ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมยศเปิดเผยเรื่องนี้ขณะที่กำลังให้สัมภาษณ์สถานี วิทยุโทรทัศน์สปริงนิวส์ เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ปีนี้ เมื่อผู้ดำเนินรายการของ สถานีซักถาม และพล.ต.อ.สมยศยอมรับว่าเขาเคยขอยืมเงิน 300 ล้านบาท จากนายกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของสถานอาบอบนวดวิคตอเรียซีเคร็ทซึ่ง เป็นผู้ต้องหาในคดีค้าประเวณีและค้ามนุษย์ และกำลังหลบหนีการจับกุม
การเปิดเผยของ พล.ต.อ.สมยศว่าเขาถือว่าอาชีพตำรวจเป็นไซด์ไลน์ (sideline) หรืออาชีพรองนี้ นอกจากจะเป็นเรื่องขบขัน เป็นที่ครหาและน่า สมเพชสำหรับสาธารณชนแล้ว ยังเป็นที่สงสัยด้วยว่ากรรมวิธีพิจารณา กลั่นกรองบุคลากรของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติเพื่อแต่งตั้ง ใครให้ดำรงตำแหน่งนั้นรัดกุม เป็นธรรม และโปร่งใสอย่างใดเพียงใด
คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์ โอชา เป็นประธานได้ลงมติเห็นชอบให้แต่งตั้ง พล.ต.อ.สมยศ เป็นผู้บัญชา การตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2557
เป็นที่น่าสังเกตว่าก่อนที่จะมีการแต่งตั้ง พล.ต.อ.สมยศให้เป็นผู้บัญ ชาการตำรวจแห่งชาติ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกประ กาศที่ 88/2557 แก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ โดยเฉพาะ ส่วนที่ว่าด้วยการแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเดิมกำหนดให้นายก รัฐมนตรีเป็นผู้เสนอชื่อต่อที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ แต่คำสั่งคสช.ฉบับที่ 88/2557 นี้ แก้ไขเป็นให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติใน ขณะนั้น (คือ พล.ต.อ.วัชรพล ประสานราชกิจ รักษาการในตำแหน่ง) เป็นผู้ เสนอชื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ส่วนคุณสมบัติของผู้ที่จะเป็น ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเดิมกำหนดไว้ว่าให้พิจารณาจากข้าราชการ ตำรวจยศพลตำรวจเอกนั้น คำสั่ง คสช.ฉบับนี้แก้ไขใหม่ให้เป็นรองผู้บัญชา การตำรวจแห่งชาติ ซึ่งในขณะนั้นมี 6 คน และจเรตำรวจแห่งชาติอีก 1 คน
นอกจากนั้นประกาศของ คสช.ฉบับที่ 88/2557 ยังแก้ไขโครงสร้าง ของคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ โดยเพิ่มรองนายกรัฐมนตรีเป็น รองประธาน และเพิ่มปลัดกระทรวงกลาโหมเข้าไปเป็นกรรมการ และตัด ตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง มหาดไทยออก ส่วนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่เดิมมี 4 คนนั้นให้เหลือ เพียง 2 คน โดยวุฒิสภาเป็นผู้เลือก และให้คณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งผู้บัญชา การตำรวจแห่งชาติคนใหม่ ตามที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติคนเดิมเสนอ
ประกาศฉบับนี้ยังแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของคณะกรรมการ ข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ด้วย โดยยกเลิกกรรมการซึ่งได้รับเลือกจากนาย ตำรวจระดับผู้กำกับการ พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิหรือเทียบเท่า และ ยกเลิกกรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิ ที่มาจากการเลือกตั้งโดย ก.ตร.ทั้งหมด ให้เหลือเพียงกรรมการข้าราชการตำรวจผู้ทรงคุณวุฒิที่ได้รับ เลือกจากวุฒิสภา 2 คน
ก่อนได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไม่ปรากฏว่า พล.ต. อ.สมยศมีผลงานดีเด่นเป็นพิเศษในราชการตำรวจแต่อย่างใด พล.ต.อ.สม ยศเคยเป็นนายตำรวจติดตามนายมนตรี พงษ์พานิช อดีตรัฐมนตรีว่าการ กระทรวงพาณิชย์ (พ.ศ.2529) และเติบโตมาในสายตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และเมื่อได้รับแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการครั้งแรกในปี 2549 ก็เป็นผู้บัญชาการ ประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ทำหน้าที่ประสานงานกับ กระทรวงมหาดไทย) ก่อนที่จะได้เป็นจเรตำรวจ และเป็นผู้บัญชาการ ตำรวจสอบสวนกลางอยู่เพียงปีเดียว ก่อนที่จะได้เลื่อนขึ้นเป็นผู้ช่วย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ไม่มีใครทราบว่าคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติมีเหตุผลอย่างไรจึงแต่งตั้ง พล.ต.อ.สมยศให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทั้ง ๆ ที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีกคนหนึ่ง (คือ พล.ต.อ.เอก อังสนา นนท์) มีอาวุโส ประสบการณ์และผลงานเหนือกว่า พล.ต.อ.สมยศเป็นข่าว ครึกโครมขึ้นมา หลังจากที่ได้เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแล้ว เมื่อเขา ประกาศสนับสนุนการเปิดบ่อนการพนันเสรี
เวลาล่วงมา 4 ปีคนไทยจึงได้รู้ว่าคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่ง ชาติอุตส่าห์เปลี่ยนโครงสร้างของคณะกรรมการและเปลี่ยนตัวกรรมการ เพื่อแต่งตั้ง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ให้ดำรงตำแหน่งที่เขาถือเป็นเพียง อาชีพรอง ในขณะที่อาชีพหลักของเขาคือธุรกิจซื้อขายหุ้นเท่านั้นเอง