ข้อสังเกตในการตั้งหน่วยงานอิสระในการจัดเก็บรายได้แทนกรมภาษี
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจ ได้เสนอแนวคิดในการจะตั้งหน่วยงานอิสระขึ้นมาเป็นหน่วยงานกลางในการทำหน้าที่แทนหรือเสริมหน่วยงานจัดเก็บรายได้ของรัฐที่มีหน้าที่ตามกฎหมายในปัจจุบัน ได้แก่กรมสรรพากร กรมสรรพสามิตและกรมศุลกากรสังกัดอยู่ในกระทรวงการคลังในปัจจุบัน (ดูรายละเอียดในกรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2561 หน้า 1 “ชงตั้งหน่วยงานอิสระเก็บภาษี”)
ส่วนในรูปแบบจะเป็นหน่วยงานอิสระที่เสริมหรือทำหน้าที่แทนยังไม่มีความชัดเจนในข้อเสนอแนะที่มีเจตนาที่ดีในเรื่องนี้ ที่ต้องการให้มีองค์กรอิสระในการเก็บภาษีมีความเที่ยงธรรม กล้าหาญและปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจในการเก็บภาษี แต่เจตนาที่ควรต้องอนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งของท่านประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านเศรษฐกิจอาจจะมีปัญหาข้อกฎหมายรัฐธรรมนูญบางประการ ดังนี้
ถ้าเป็นหน่วยงานใหม่แทนหน่วยงานปัจจุบัน คือกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร จะมีข้อที่จะต้องพิจารณาวิเคราะห์หลายประเด็น เช่นถึงขนาดมีความจำเป็นที่จะต้องยุบยกเลิกหน่วยงานเดิมหรือไม่ หรือถ้าจะให้เป็นหน่วยงานเสริมของ 3 กรมภาษีในกระทรวงการคลัง จะทำได้หรือไม่อย่างไร
เพราะการตั้งองค์กรอิสระจะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 10 มีมาตรา 215 กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดตั้งไว้ ดังนี้
“องค์กรอิสระที่จัดตั้งขึ้นให้มีความอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจขององค์กรอิสระต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญและปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ”
ตามรัฐธรรมนูญ2560ในปัจจุบัน มีห้าองค์กรอิสระเท่านั้น คือ 1คณะกรรมการการเลือกตั้ง 2 ผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ 4 คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน และ5 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ฉะนั้นการจะตั้งหน่วยงานอิสระขึ้นมาใหม่น่าจะติดขัดตามรัฐธรรมนูญในหมวดนี้ ที่ไม่เปิดทางไว้ให้เพิ่มได้อีกเลย ทั้งที่อาจจะเกิดประโยชน์จากองค์กรอิสระใหม่แต่ถ้าจะใช้หน่วยงานอิสระที่มีอยู่แล้วเสริมในการเก็บภาษี เช่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ที่มีหน้าที่กำกับการตรวจเงินแผ่นดินให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐที่จะมีผลใช้บังคับอีกไม่นานเพราะได้ผ่านความเห็นชอบจากสนช.แล้ว เป็นหน่วยงานเสริมก็อยู่ในวิสัยที่จะทำได้
เว้นแต่จะไม่ไว้วางใจในความเที่ยงธรรม และความกล้าหาญ ปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ ดังเช่นความไม่ไว้วางใจเชื่อถือดังเช่นที่เกิดขึ้นกับ ปปช.ที่มีอยู่ในขณะนี้ แต่ความจริงเป็นเรื่องตัวบุคคลที่เป็นประธาน ทั้งๆที่มีท่านกรรมการอื่นๆหลายท่านเป็นที่น่าเชื่อถือ
อย่างไรก็ดีมีบทเรียนเรื่องทำนองนี้มาแล้วในการตั้งกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติขึ้นมาใหม่ในสมัยจอมพล สฤษดิ์.ธนะรัชต์ เมื่อ พ.ศ. 2506 โดยนำหน่วยงานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันบ้างแตกต่างกันก็มีจากหลายกระทรวงมารวมอยู่ในกระทรวงพัฒนาการแห่งชาตินี้ เช่น กรมชลประทาน กรมทรัพยากรธรณี กรมวิเทศสหการ กรมทางหลวง กรมที่ดิน กรมสหกรณ์ต่างๆมารวมอยู่ในกระทรวงเดียวกัน เมื่อตั้งใหม่ๆก็ยกย่องสรรเสริญว่าจะประสบผลสำเร็จ แต่ในที่สุดก็ต้องยกเลิกไปในรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจร เมื่อ พ.ศ. 2515
ผลสัมฤทธิ์และไม่สัมฤทธิ์ในการตั้งกระทรวงพัฒนาแห่งชาติขึ้นมาใหม่และต้องยกเลิกไปในที่สุดเป็นอดีตควรที่จะนำมาเป็นบทเรียนในแนวคิดที่จะตั้งองค์กรอิสระหรือหน่วยงานใดๆขึ้นมาในการเก็บรายได้ที่เป็นหน้าที่หลักของสามกรมภาษีในกระทรวงการคลัง และยังควรนำมาเป็นอุทาหรณ์ของรัฐบาลคสช.ที่มาจากการยึดอำนาจเช่นเดียวกับจอมพล ส.ธนะรัชต์ ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาหลายโครงการเพราะในที่สุดอาจจะต้องยกเลิกไปและถ้ามีการทุจริตก็จะถูกยึดทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดินทำนองเดียวกับมาตรา 17ของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มาเป็นมาตรา 44 ของ คสช.
ฉันใดก็ฉันนั้น ครับ