ปัญหาระเบียบเบี้ยประชุมศาล
เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม (ก.บ.ศ.) ซึ่งประธานศาลฎีกาเป็นประธานกรรมการ ได้ออกระเบียบชื่อ “ระเบียบคณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรม ว่าด้วยเบี้ยประชุมในการประชุมใหญ่และการประชุมแผนกคดีในศาลฎีกาและศาลชั้นอุทธรณ์ พ.ศ. 2560” เมื่อ 24 ตุลาคม 2560 และต่อมาได้มีการออกฉบับแก้ไขเพิ่มเติม คือ ฉบับที่ 2 เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2561 ที่ผ่านมา
ระเบียบดังกล่าวถูกกล่าวถึงและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางเกี่ยวกับ “ปัญหาความเหมาะสม” ว่าควรหรือไม่ควรที่ ก.บ.ศ. จะออกระเบียบจ่ายเบี้ยประชุมให้แก่ผู้พิพากษา และอาจจะทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียงบประมาณแผ่นดินเป็นจำนวนมากต่อการปฏิบัติหน้าที่ของผู้พิพากษานอกเหนือจากการได้รับเงินเดือนกับเงินประจำตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว
ปัญหาความเหมาะสมดังกล่าวเป็นผลจากการดำเนินการตามนโยบายของ ก.บ.ศ. ชุดที่ประธานศาลฎีกาท่านปัจจุบันเป็นประธาน ผลักดันระเบียบนี้ออกมาใช้บังคับ ซึ่งแน่นอนว่า อาจมีผู้เห็นด้วยว่าเหมาะสม แต่ก็อาจมีผู้เห็นว่าไม่หมาะสม แต่นั่นก็เข้าใจได้ว่า เรื่องทางนโยบายอาจมีผู้เห็นคล้อยหรือเห็นค้านเป็นธรรมดา
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ผู้เขียนจะยกขึ้นไม่ใช่ประเด็น “ปัญหาความเหมาะสม” ของระเบียบดังกล่าว แต่จากการพิจารณาตรวจสอบแล้วพบว่า ระเบียบดังกล่าวอาจมีประเด็น “ปัญหาข้อกฎหมาย” ให้พิจารณาอยู่หลายประการ ทั้งนี้ แยกเป็น 2 ประเด็นใหญ่ คือ 1.ระเบียบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด และ 2.ระเบียบอาจถูกเพิกถอนได้หรือไม่ เพราะเหตุใด
1. ระเบียบชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะเหตุใด
ต่อประเด็นว่าระเบียบเบี้ยประชุมดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่นั้น ผู้เขียนขอแยกเป็น 2 กรณี ได้แก่ 1.1 กรณีเบี้ยประชุมเกี่ยวกับคดี กับ 1.2 กรณีเบี้ยประชุมใหญ่ในการคัดเลือกบุคคล
1.1 กรณีเบี้ยประชุมเกี่ยวกับคดี
ในเบื้องต้น เรียนให้ทราบว่าระเบียบดังกล่าวนิยามคำว่า “การประชุม” ที่จะทำให้ผู้พิพากษาได้รับเบี้ยประชุมโดยไม่ได้แยก “เรื่อง” ในที่ประชุมของศาลแต่อย่างใด จึงทำให้การประชุมใหญ่ตามนิยามดังกล่าวในศาลฎีกาและศาลชั้นอุทธรณ์ทุกกรณีได้รับเบี้ยประชุมทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาเรื่องในที่ประชุมศาล จะรู้ว่า การประชุมของศาลจะมีอยู่ 2 กรณี ได้แก่ การประชุมเกี่ยวกับคดี กับการประชุมเกี่ยวกับการอื่นนอกเหนือเรื่องทางคดี
สำหรับการประชุมเกี่ยวกับคดีนั้น จะเห็นได้ว่า ระเบียบดังกล่าวให้เบี้ยประชุมแก่ผู้พิพากษาในการประชุมใหญ่ศาลฎีกาและอื่น ๆ ด้วย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ไม่เคยปรากฏประเพณีปฏิบัติในศาลยุติธรรมว่ามีการจ่ายเบี้ยประชุมให้กับการประชุมใหญ่ศาลฎีกาหรือการประชุมคดีในกรณีอื่นแต่อย่างใด
“กรณีเดียว” ที่มีการกำหนดให้จ่ายเบี้ยประชุมเกี่ยวกับคดีได้โดยชัดแจ้งตามกฎหมายสำหรับในศาลยุติธรรม คือ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2560 มาตรา 11 วรรคท้าย ที่บัญญัติว่า “ผู้พิพากษาซึ่งร่วมประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามวรรคหนึ่ง องค์คณะผู้พิพากษาซึ่งได้รับเลือกในการประชุมดังกล่าว ตลอดจนบุคคลซึ่งองค์คณะผู้พิพากษามอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุม หรือค่าตอบแทน แล้วแต่กรณี ตามระเบียบที่คณะกรรมการบริหารศาลยุติธรรมตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมกำหนด” ทั้งนี้ ปัจจุบันก็มีระเบียบออกตามความในบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว คือ “ระเบียบคณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ว่าด้วยเบี้ยประชุมและค่าตอบแทนในการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ.2560”
แต่ปรากฏว่า ไม่มีพระราชบัญญัติหรือกฎหมายเทียบเท่าใดบัญญัติชัดแจ้งให้ผู้พิพากษาที่เข้าประชุมคดีในศาลมีสิทธิได้รับเบี้ยประชุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งเป็นหัวใจเกี่ยวกับกติกาการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลยุติธรรม ซึ่งบัญญัติเรื่องการประชุมใหญ่ทั้งในศาลฎีกาและในศาลชั้นอุทธรณ์ไว้ในมาตรา 140 ก็หาได้บัญญัติให้สิทธิได้รับเบี้ยประชุมไม่
เมื่อย้อนกลับมาสำรวจบทกฎหมายที่ระเบียบซึ่งเป็นปัญหานี้อ้างอาศัยอำนาจไว้ในคำปรารภ เราจะพบว่า ระเบียบนี้อ้างมาตรา 17 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 ซึ่งบัญญัติว่า “มาตรา 17 ก.บ.ศ. มีอำนาจหน้าที่ในการกำกับดูแลการบริหารราชการศาลยุติธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับงานบริหารราชการและงานธุรการของสำนักงานศาลยุติธรรมให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบ แบบแผน และประเพณีปฏิบัติของทางราชการศาลยุติธรรม โดยให้มีอำนาจหน้าที่ดังต่อไปนี้
(1) ออกระเบียบหรือประกาศ หรือมีมติเพื่อการบริหารราชการศาลยุติธรรมในส่วนที่เกี่ยวกับงานบริหารราชการและงานธุรการของสำนักงานศาลยุติธรรมให้เป็นไปตามนโยบายของประธานศาลฎีกา รวมทั้งมีอำนาจยับยั้งการบริหารราชการของศาลยุติธรรม หรือสำนักงานศาลยุติธรรมที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ ประกาศ หรือมตินั้นด้วย”
เมื่อพิจารณามาตรา 17 (1) ของพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมฯ จะพบว่า มีลักษณะเป็น “บทอำนาจทั่วไป” ของ ก.บ.ศ. ในการขับเคลื่อน “การบริหารราชการ” ของศาลยุติธรรม โดยออกมาในรูประเบียบ ประกาศ หรือมติของ ก.บ.ศ.
ปัญหาคือ จะถือได้หรือไม่ว่า มาตรา 17 (1) ดังกล่าวเป็นกฎหมายที่จะสามารถให้สิทธิในการรับเบี้ยประชุมคดีของผู้พิพากษาได้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ การประชุมคดีของศาลเป็นกรณีที่จะได้รับเบี้ยประชุมโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 (1) นั้นได้หรือไม่
แน่นอนว่า หากระเบียบดังกล่าวเป็นการจ่ายเบี้ยประชุมเพื่อตอบแทนเรื่องที่เกี่ยวกับ “การบริหารราชการ” ภายในของศาล เช่น จ่ายค่าเบี้ยประชุมของ ก.บ.ศ. จ่ายค่าเบี้ยประชุมของคณะกรรมการสอบสวน ย่อมไม่มีปัญหา แต่การประชุมคดีเป็นเรื่อง “การพิจารณาพิพากษาคดี” ซึ่งเป็นเรื่องการกระทำทางตุลาการของบรรดาผู้พิพากษา ไม่ใช่เรื่อง “การบริหารราชการ” ซึ่งเป็นเรื่องการกระทำทางปกครอง อันเป็นการใช้อำนาจตามกฎหมายเกี่ยวกับการกระทำทางบริหาร ที่ไม่ใช่การกระทำทางนิติบัญญัติและไม่ใช่การกระทำทางตุลาการ ตัวอย่างการกระทำที่ถือว่าเป็นเรื่องการบริหารราชการ เช่น การคัดเลือกหรือแต่งตั้งบุคคล การบริหารงานบุคคล การบริหารจัดการงบประมาณและพัสดุ ฯลฯ เพราะฉะนั้น เมื่อมาตรา 17 (1) ให้อำนาจออกระเบียบเกี่ยวกับการบริหารราชการของศาล ดังนั้น การจะออกระเบียบจ่ายเบี้ยประชุมโดยอาศัยอำนาจมาตราดังกล่าว ก็ย่อมทำได้เฉพาะแต่กรณีเบี้ยประชุมเกี่ยวกับการบริหารราชการของศาลเท่านั้น ดังนั้น ก.บ.ศ. จึงไม่มีอำนาจออกระเบียบให้สิทธิผู้พิพากษาได้รับเบี้ยประชุมเกี่ยวกับคดีได้แต่อย่างใด
การประชุมคดี ไม่ว่าจะเป็นการประชุมใหญ่ศาลฎีกา ประชุมใหญ่ในศาลชั้นอุทธรณ์ ฯลฯ ล้วนเป็นหน้าที่ตามปกติของผู้พิพากษา หากจะได้รับเบี้ยประชุมสำหรับการประชุมคดีเป็นกรณีพิเศษก็ย่อมต้องมีกฎหมายกำหนดให้สิทธิได้รับเบี้ยประชุมไว้เป็นการเฉพาะ เช่น กรณีเบี้ยประชุมในคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
อนึ่ง ข้อที่ต้องสังเกตมีอยู่ 2 ประการ คือ ก่อนหน้าที่ระเบียบนี้จะออก ประธานศาลฎีกาท่านเก่าซึ่งเป็นประธาน ก.บ.ศ.ในเวลานั้น เห็นว่า จะต้องแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเพื่อให้รองรับการจ่ายเบี้ยประชุมเสียก่อน (โปรดดู รายงานการประชุม ก.บ.ศ. ครั้งที่ 15/2560 วันที่ 11 กันยายน 2560) และแม้ในเวลาที่ระเบียบดังกล่าวได้ออกมาแล้ว ก็ปรากฏว่า ก.บ.ศ. มีมติครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2560 ว่า เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งเกี่ยวกับการวินิจฉัยปัญหาโดยที่ประชุมใหญ่หรือที่ประชุมแผนกคดีของศาลชั้นอุทธรณ์และศาลฎีกา โดยให้ผู้ที่เข้าร่วมในการประชุมได้รับเบี้ยประชุมตามระเบียบ ก.บ.ศ. ข้อเท็จจริงทั้งสองประการน่าจะสะท้อนว่าแท้จริงระเบียบเบี้ยประชุมที่ออกมาใช้บังคับในปัจจุบันมีปัญหาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ ผู้เขียนเชื่อว่าผู้พิพากษาหลายท่านเองก็รู้อยู่ลึก ๆ ว่ามีปัญหาแน่
เพราะฉะนั้น จึงเห็นว่า ในส่วนการจ่ายเบี้ยประชุมเกี่ยวกับคดีที่ทำให้ผู้พิพากษาได้รับเบี้ยประชุมจากการประชุมคดีในศาลต่าง ๆ ดังกล่าวตามระเบียบนี้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ตามหลักไม่มีกฎหมาย ไม่มีอำนาจ
1.2 กรณีเบี้ยประชุมใหญ่ในการคัดเลือกบุคคล
การประชุมใหญ่ในศาลยุติธรรม นอกเหนือจากการประชุมคดี ซึ่งเป็นหน้าที่ตามปกติที่ปรากฏในกฎหมายวิธีพิจารณาความถือเป็นเรื่องการพิจารณาพิพากษาคดีอันเป็นการกระทำทางตุลาการ ยังปรากฏว่า กฎหมายกำหนดให้ศาลมีการประชุมใหญ่เพื่อเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ตามกฎหมายด้วย
ข้อสังเกตคือ การประชุมใหญ่ในการเลือกบุคคลดังกล่าวมีเฉพาะกรณีประชุมใหญ่ศาลฎีกา ไม่พบว่ากฎหมายกำหนดให้มีการประชุมใหญ่ศาลชั้นอุทธรณ์เพื่อเลือกบุคคลดังเช่นศาลฎีกาแต่ประการใด
การประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อการเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ มี 2 กรณี คือ กรณีหน้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อการเลือกบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด กับกรณีหน้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อการเลือกบุคคลตามกฎหมายอื่น
กรณีแรก กรณีหน้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อการเลือกบุคคลตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด คือ กรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีการประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อการเลือกบุคคลตามตำแหน่งต่าง ๆ ที่รัฐธรรมนูญได้ระบุไว้ ซึ่งก็จะมีการบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น การประชุมใหญ่เพื่อคัดเลือกผู้พิพากษาในศาลฎีกาเป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ, การประชุมใหญ่เพื่อคัดเลือกบุคคลเป็นกรรมการการเลือกตั้ง ฯลฯ
กรณีที่สอง กรณีหน้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อการเลือกบุคคลตามกฎหมายอื่น คือ กรณีหน้าที่ซึ่งนอกเหนือที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญ แต่เกิดจากการระบุไว้ในกฎหมายอื่น เช่น หน้าที่ประชุมใหญ่เพื่อคัดเลือกกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. 2542
ประเด็นสำคัญคือ รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติที่กำหนดหน้าที่ของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาสำหรับการคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่ง ก็มิได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาได้รับเบี้ยประชุมในการประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามหน้าที่ดังกล่าวแต่ประการใด ดังนั้น จึงมีปัญหา กรณีนี้ผู้พิพากษาในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามีสิทธิได้รับเบี้ยประชุมหรือไม่
ต่อประเด็นปัญหาดังกล่าว ผู้เขียนมีความเห็นว่า กรณีนี้อาจมีผู้เห็นว่า เมื่อกฎหมายแม่บทที่กำหนดหน้าที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อการเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งไม่ได้บัญญัติให้สิทธิได้รับเบี้ยประชุมไว้อย่างชัดแจ้งในกฎหมายนั้น ๆ ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้พิพากษาในศาลฎีกาย่อมไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยประชุม เช่นนั้นแล้ว ย่อมทำไม่อาจมีระเบียบใดที่จะออกมาเพื่อให้เบี้ยประชุมแก่การดังกล่าวได้แต่ประการใดเลย เมื่อมีระเบียบออกมากำหนดให้เบี้ยประชุม ระเบียบนั้นย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย
แต่สำหรับความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน คือ การประชุมใหญ่ศาลฎีกาเพื่อคัดเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งที่ว่านี้ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับคดีที่เป็นหน้าที่ในการพิจารณาพิพากษาคดีของผู้พิพากษา แต่เป็นเรื่องการบริหารจัดการคัดเลือกบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งต่าง ๆ ตามที่กฎหมายกำหนด แล้วนำเสนอแก่องค์กรผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินการพิจารณาแต่งตั้งหรือประกาศต่อไป เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาที่เนื้อหาของการทำหน้าที่ของศาลฎีกาในกรณีนี้ จะเห็นได้ว่า ศาลฎีกามิได้ทำหน้าที่ในทางคดีหรือเป็นการกระทำทางตุลาการแต่อย่างใด แต่ทำหน้าที่ในทางบริหารจัดการคัดเลือกบุคคล ซึ่งมีลักษณะเป็นหน้าที่ในทางบริหารในประเภทกระทำทางปกครองนั่นเอง
เพราะฉะนั้น เมื่อ ก.บ.ศ. มีอำนาจหน้าที่จัดการดูแลเกี่ยวกับการบริหารราชการของศาล จึงมีอำนาจออกระเบียบเบี้ยประชุมเกี่ยวการประชุมใหญ่ศาลฎีกาเกี่ยวกับการเลือกบุคคลเข้าดำรงตำแหน่งต่าง ๆ ตามกฎหมายด้วย เฉกเช่นอำนาจออกระเบียบเบี้ยประชุมให้กับการประชุมของคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการบริหารราชการของศาล เพราะโดยเนื้อหาแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับงานบริหารราชการนั่นเอง
โดยสรุป ระเบียบเบี้ยประชุมศาลเฉพาะส่วนการประชุมใหญ่ศาลฎีกาเกี่ยวกับการเลือกบุคคลที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 17 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมฯ จึงชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อระเบียบที่เป็นปัญหานี้มีทั้งส่วนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและชอบด้วยกฎหมายปะปนอยู่ในตัวเอง โดยที่ระเบียบก็ไม่ได้แยกหมวดของการประชุมศาลว่ามี 2 หมวด คือ หมวดเกี่ยวกับคดี กับหมวดเกี่ยวกับการเลือกบุคคลของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา จึงไม่มีหมวดที่อาจประกาศความไม่ชอบด้วยกฎหมายได้โดยสภาพ เพราะฉะนั้น จึงต้องประกาศความไม่ชอบด้วยกฎหมายว่า ไม่อาจนำไปใช้สำหรับการจ่ายเบี้ยประชุมเกี่ยวกับคดี เนื่องจากเฉพาะแต่ในส่วนนี้เท่านั้นที่เป็นเรื่องระเบียบออกโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย
2. ระเบียบอาจถูกเพิกถอนได้หรือไม่ อย่างไร
ระเบียบที่ออกโดย ก.บศ. ซึ่งอาศัยอำนาจมาตรา 17 (1) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการศาลยุติธรรมฯ มีลักษณะเป็น “กฎ” ตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542
เมื่อมีปัญหาว่า ก.บ.ศ. ซึ่งถือเป็น “เจ้าหน้าที่ของรัฐ” ตามนิยามในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ กระทำการออกระเบียบโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงถือเป็นข้อพิพาทที่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) และกรณีนี้ จะอ้างว่าไม่อยู่ในอำนาจของศาลปกครองตามมาตรา 9 วรรคสอง (2) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ มิได้ เพราะกรณีการออกระเบียบนี้เป็นการดำเนินการของ ก.บ.ศ. ไม่ใช่คณะกรรมการตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการ หรือ ก.ต. ที่จะไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลปกครอง เพราะฉะนั้น ระเบียบในส่วนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าวจึงถูกเพิกถอนได้โดยศาลปกครอง (เทียบคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.281/2560)
ประเด็นต่อมา คือ บุคคลใดเป็นผู้มีสิทธิเสนอคดีต่อศาลปกครองให้เพิกถอนระเบียบดังกล่าว
ต่อประเด็นนี้ อธิบายได้ว่า โดยหลัก ผู้มีสิทธิเสนอคดีต่อศาลปกครองต้องเป็น “ผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้” เพราะฉะนั้น ประชาชนทั่วไปที่แม้เล็งเห็นความไม่ชอบด้วยกฎหมายของระเบียบดังกล่าว ก็ไม่มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครอง อย่างไรก็ดี ระบบกฎหมายเปิดช่องให้ “ผู้ตรวจการแผ่นดิน” เป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ ทั้งนี้ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน มาตรา 231 (2) โดยการฟ้องคดีของผู้ตรวจการแผ่นดิน อาจเกิดขึ้นโดยผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นเอง หรือจากการที่มีประชาชนร้องเรียนความไม่ชอบด้วยกฎหมายของระเบียบดังกล่าวต่อผู้ตรวจการแผ่นดินก็ได้
กล่าวโดยสรุปคือ หากผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่าระเบียบนี้มีประเด็นความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็สามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาว่า แท้จริงแล้ว ก.บ.ศ. ออกระเบียบโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าศาลปกครองพิพากษาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็จะเป็นการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐแม้ในองค์กรศาลยุติธรรมก็จะใช้อำนาจเกินกว่ากฎหมายมิได้ แต่ถ้าศาลปกครองพิพากษาว่าชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็จะเป็นการยืนยันว่า ก.บ.ศ. ใช้อำนาจโดยถูกต้อง และจะขจัดความเคลือบแคลงสงสัยที่เกิดขึ้นในสังคมเวลานี้
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก technomai.com