“got talent series” เรียนรู้ “กฎ”ของรายการโชว์
เหตุการณ์ผู้ประกวดสาวใช้เต้าและเรือนร่างวาดภาพ โดยอ้างว่าเป็นศิลปะในรายการโชว์ “Thailand’s got talent” ที่ออกอากาศทางช่อง 3 และตอนนี้ก็เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว
จุดเริ่มเรื่อง คือ วินาทีที่เธอถอดเสื้อเชิ้ตและเสื้อชั้นใน พลันลงนั่งและยกกระป๋องสีขึ้นเทบนร่างเปลือยท่อนบน ท่ามกลางสายตาตะลึงงันของกรรมการและผู้คนในห้องส่ง จากนั้นเธอก็หันมาอวดเรือนร่างที่ถูกละเลงด้วยสีสันฉูดตา อวดยิ้มกว้างและส่งสายตาชวนสงสัยว่าเธอจะทำอะไรต่อไป
ยังมิทันจะได้คำตอบ เธอหันกลับไปยังผืนฝ้าใบ โยกเต้านมคลึงสัมผัสกับแผ่นภาพผ้าใบสีขาวตามจังหวะเสียงดนตรีเร้าอารมณ์ ท่ามกลางสายตาและเสียงโห่ร้องผู้ชมในห้องส่ง กรรมการหญิงคนหนึ่งกดไฟแสดงสัญลักษณ์กากบาทสีแดงแสดงว่าเธอไม่เห็นด้วยกับโชว์ที่ปรากฎตรงหน้า ขณะที่กรรมการชายอีก 2 ท่านตัดสินให้เธอผ่านรอบคัดเลือก โดยให้เหตุผลว่าและเชื่อว่าคืองานศิลปะ และสำทับอีกว่า “แค่กล้าก็ชนะแล้ว”
หลังเหตุการณ์วันสองวัน เจ้าของรายการออกมาตอบสังคมว่าเสียใจ ขอโทษและสัญญาว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก และล่าสุดเท่าที่ทราบข่าวคือ มีเพื่อนของผู้ประกวดสาวท่านนี้เผยว่า ที่ทำไปนั้นเพราะได้รับการติดต่อจากทีมงานรายงานให้มาโชว์วาดภาพ โดยได้รับเงินค่าจ้า 10,000 บาท และกระทรวงวัฒนธรรมตัดสินใจเรียกผู้ผลิตรายการเข้ามาพูดคุย ซึ่งจะแค่ตักเตือน หรืออย่างไรก็มิอาจทราบได้
รายการ “Thailand ‘s got talent” นั้นเป็นรายการลิขสิทธิ์จากอเมริการประเทศไทยเป็นลำดับที่ 43 และที่ 5 ของเอเชียที่ซื้อลิขสิทธิ์มา
ตัวเลขจากการสำรวจเรตติ้ง (ปริมาณผู้ชมรายการ) ของบริษัทเอซีนีลเซ่น ระบุว่า เมื่อเย็นวันอาทิตย์ ที่ 17 มิถุนายน 2555 เวลา 18.00-19.00 น. รายการ “Thailand’s got talent” มีส่วนแบ่งผู้ชมฟรีทีวีด้วยกันสูงถึง 47.30% มีเรตติ้งอยู่ระดับเฉลี่ยระดับ 7.06 - 8.63 - 8.16 และมีฐานผู้ชม อยู่ที่ราว 4,500,000 – 5,539,000 คน ซึ่งสูงมากพอๆ กับช่วงเวลาเดียวกันขณะนั้นคือละครก่อนข่าวภาคค่ำของช่อง 7
ส่วนข้อถกเถียง จริงหรือเท็จ ถูกหรือผิด ก็พิสูจน์กันไปทางสังคม
ที่แน่ๆ คนได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ คือ เจ้าของ/ผู้ผลิตรายการเองที่สามารถสร้างกระแสความสนใจ (ดีหรือร้าย?) แน่ว่าจากนี้คงมีโฆษณาเข้ารายการมากขึ้น และมียอดผู้ชมสูงขึ้นในสัปดาห์ถัดไป
มีประเด็นวิพากษ์มากมายนับตั้งแต่ข้อชวนถกเถียงชวนปวดหัวระหว่าง “อนาจารหรือศิลปะ ?” หรือ “ความเสื่อมเสียทางวัฒนธรรม?” เรื่อยไปกระทั่ง “การเตี้ยม การจัดฉากของรายการเพื่อเรียกเรตติ้งและความนิยมเพื่อเอาไปขายโฆษณา?”
อย่างไรก็ตาม ควรพูดเรื่อง “กฎเกณฑ์ที่อยู่ในรายการโชว์” ว่ามีอะไรที่เราควรรู้ทันรายการโชว์ในลักษณะนี้บ้าง
(1) ทุกอย่างโชว์ได้ ถ้าหากมันน่าสนใจ!
รายการโชว์ ขาย “การโชว์” มากกว่าอย่างอื่นๆ แม้จะบอกว่าโชว์นู้ด หรือ ศิลปะ หรืออนาจาร ก็ยังเรียกว่าโชว์ได้
สิ่งที่รายการโชว์ต้องการ คือ “ความตะลึงงัน ความรู้สึกใจจดใจจ่อ” พูดให้ชัดคือ รายการโชว์ต้องการให้ผู้ชม นั่งชมอย่างเกาะติด โดยจะทำทุกอย่างให้ผู้ชมรู้สึกว่าน่าติดตาม น่าสนใจ น่าสงสัย น่าตื่นเต้น น่ากลัว น่าหลงใหล น่าอึ่ง ทึ่ง เสียว ฯลฯ
“การโชว์” นั้นเพื่อดึงปฏิกิริยาของผู้ชมให้ถูกมนต์สะกดอยู่กับความสนใจที่เนื้อหาของการโชว์ ซึ่งประโยชน์ของความสนใจที่ได้จากผู้ชม คือ “สายตา” หรือ จำนวนเรตติ้งคนดู ซึ่งเอาไปขายและหากำไรจากโฆษณาที่จะเข้ามาในรายการ
เพราะฉะนั้นจะเอาอะไรมาโชว์รายการก็ได้ ถ้ามันดึงความสนใจนั้นได้
ยิ่งถ้าการโชว์นั้น สามารถสร้างกระแส การพูดถึง การเป็นข่าวได้ ก็จะดีสำหรับรายการโชว์นั้นๆ
ดังนั้น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในรายการ ไม่ว่าจะดูลื่นไหล หรือทะเลาะกัน มันคือการโชว์ทั้งสิ้น
(2) โชว์ได้ ทั้งเบื้องหน้า และเบื้องหลัง!
รายการโชว์ในอดีตเน้นการโชว์ที่เสร็จสมบูรณ์หน้าเวที, การโชว์ทุกอย่างจะถูกแสดงให้เห็นบนเวทีการแสดงเท่านั้น แต่ปัจจุบันรายการโชว์ส่วนมากรู้ดีว่า ผู้ชมมิได้สนใจเฉพาะสิ่งที่ปรากฏอยู่หลังฉาก/เวทีเท่านั้น แต่ยังสนใจเรื่องราวชีวิตเบื้องหลังด้วยเช่นกัน
แนวคิดในการผลิตรายการโทรทัศน์ในทศวรรษหลัง ค้นพบวา มนุษย์ชอบสิ่งที่ “ดูเป็นจริงเป็นจัง” (realistic) มากขึ้น พวกเขาไม่ชอบการเซ็ต การซ้อม การเตรียมสร้างสรรค์ เพราะมันดู “สมบูรณ์และคาดเดาได้ง่ายเกินไป” นั่นจึงเป็นที่มาของการนำเสนอภาพชีวิตของผู้คนเบื้องหลังการโชว์ รายการโชว์ส่วนมาก (ทั้งประกวดร้องเพลง หรือแข่งขัน ที่ดังๆ เช่น American Idol หรือ The Big Brother ก็ใช้ความเป็นรายการเรียลิตี้ ที่ถ่ายทอดชีวิตความเป็นคนธรรมดาเช่นเดียวกับผู้ชม มาเป็นปัจจัยผลักดันให้การโชว์ของเขาหรือเธอกลายเป้นความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างซูซาน บอยล์ ที่โด่งดังข้ามคืนจากการร้องเพลงประกวดในรายการ Britain ‘s got talent” ในฤดูกาลที่ 3 เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า การโชว์ที่ประสบความสำเร็จ มิใช่แต่เพียงเสียงร้องที่ทรงพลังที่ยึดกุมความสนใจของผู้ชมทั้งประเทศได้ แต่ยังอยู่ที่เรื่องราวชีวิตของเธอเบื้องหลังที่เปรียบเสมือนละครน้ำเน่าเรื่องหนึ่งดีๆ นี่เอง
กรณีของหญิงที่โชว์การวาดภาพด้วยการใช้เต้านี้ก็เช่นกัน, จากนี้สื่อก็จะขุดคุ้ยเรื่องราวชีวิตของเธอมานำเสนอต่อผู้ชม ไม่ว่าจะถูกหรือผิด สิ่งที่ทำไปแล้วและได้ประโยชน์คือการตอบสนองความกระหายใคร่รู้ของผู้คนในยุคสังคมผู้ชมแบบปัจจุบัน (the society of viewer)
(3) การโชว์ ต้องดำเนินต่อไป! (The show must go on)
ประโยคนี้เสมือนกฎที่ใช้ควบคุมรายการโชว์ การแสดงต่างๆ จะต้องดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่สามารถหยุดยั้งได้ ไม่ว่าโชว์ชุดนั้นจะจบลงอย่างสวยงามหรือล้มเหลว เพราะแม้กระทั่งการโชว์ที่ล้มเหลว ก็นับว่าเป็นการโชว์ที่ดีอย่างหนึ่ง ผู้ชมอาจดูจนจบแล้วบอกว่า “เห็นไหม การโชว์ชุดนั้นไม่ได้เรื่องเลย เปรียบเทียบกับอีกชุดไม่ได้ ซึ่งดีกว่ากันมาก” ซึ่งสิ่งที่ผู้ชมคาดหวังจากรายการโชว์ คือการโชว์ที่แสดงเสร็จสิ้นส้มบูรณ์
ไม่มีอะไรล้มเหลวมากไปกว่าการโชว์ที่ไม่ได้โชว์ และโชว์ที่ไม่จบ
นอกจากนี้ บ่อยครั้งที่การโชว์รวมเข้ากับการประกวดแข่งขัน นั่นยิ่งทำให้รายการมีองค์ประกอบความน่าสนใจมากขึ้น การโชว์ที่ดำเนินไปทั้งดีและแย่สลับกัน ย่อมทำให้ผู้ชมมองเห็นความแตกต่าง โดยอัตโนมัติ พวกเขาจะเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบขึ้นในใจ ทำให้ผู้ชมมีความใจจดจ่ออยู่กับรายการการโชว์นั้นได้ยาวนานมากขึ้น รายการโชว์ที่ดีต้องสร้างให้มีความรู้สึกเสมือนนั่งรถไฟเหาะขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา
แม้กระทั่งการโชว์ที่ไร้คุณภาพ ผิดพลาด ก็อาจเป็นโชว์ที่ดีอย่างหนึ่ง
(4) ทุกอย่างที่โชว์การเตรียมการ!
คงไม่มีใครเชื่อ หากจะบอกว่ารายการอย่างโชว์ หรือเรียลลิตี้นั้น ไม่มีบทหรือสคริปต์กำกับรายการ กลับกันในการผลิตรายการประเภทการแข่งขัน การประกวดในปัจจุบัน การเตี๊ยม การซ้อม การจัดฉากคือวิธีการ “ปกติ” ที่ผู้ผลิตรายการใช้หรือทำให้รายการโชว์ประสบความสำเร็จมากขึ้น
“ทุกอย่างในสื่อล้วนประกอบสร้างขึ้นมาทั้งสิ้น” – All media are constructed.
คือหลักข้อแรกในการรู้เท่าทันสื่อ
เพราะฉะนั้นในรายการไทยแลนด์ก๊อททาเล้นท์นั้น แทบไม่มีอะไรที่ไม่โดน “จัดการ” ยิ่งเป็นรายดารบันทึกเทปแล้วละก็ ทีมงานผู้ผลิตยิ่งต้องคิดกันหัวแทบแตก เพื่อวาง “พล๊อตเรื่อง-เหตุการณ์” ต่างๆ ให้ดูเหมือน “จริง – บังเอิญ – ไม่ได้ตั้งใจ”
ดังนั้นภาพทะเลาะกันของกรรมการตัดสินในรายการ ที่เดินออกมาต่อว่ากันหลังเวที ควรเข้าใจได้เป็นละครอีกฉากหนึ่ง ซึ่งก็ไม่น่าแปลก เพราะสูตรของรายการ “got talent series” นั้น มีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะในอเมริกาที่มักถ่ายฉากกรรมการทะเลาะกันหลังเวทีให้ผู้ชมดู เพื่อสร้างกระแสและความ “แปลกใจ” และ “คอยลุ้น” ติดตามว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
(5) อยากดัง จงดราม่าโชว์
เพราะรายการโชว์เน้นการสื่อสร้างอารมณ์ ความรู้สึก ให้กับผู้ชม แม้การโชว์จะสวยงาม น่าชื่นชมในความคิด ความงามมากเพียงใด ก็มิอาจเปรียบเท่ากับการโชว์ที่สามารถเรียกน้ำตา หรือความรู้สึกภายในจิตใจมนุษย์ให้ออกมาได้
ให้ลองเปรียบเทียบระหว่างโชว์การแสดงสวยงามอลังการอย่างโขน นาฏลีลา ที่ใช้คนแสดงเป็นจำนวนมาก ทั้งฉาก เครื่องดนตรี เสื้อผ้า ล้วนขับเปล่งเพื่อสร้างความงามตระการตา อัศจรรย์ใจ กับการโชว์ของมนุษย์ธรรมดา ผู้ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ความพิการ ความรันทดในอุปสรรคชะตาชีวิต บวกรวมเข้ากับความมานะ พยายาม ในความมุ่งมั่น ความพยายามไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เชื่อเหลือเกินว่าโชว์อย่างหลังนั้น เรียกความสนใจของมนุษย์ผู้ชมได้ง่ายกว่า
เพราะความเสมือนละครชีวิตนั้น ดูจริง เป็นรูปธรรมน่าเชื่อและจับต้องได้ง่าย กว่าโชว์ที่ปั้นแต่งสร้างรูปความงามทางนามธรรม แบบเช่นโชว์วัฒนธรรม หรือโชว์ที่ชวนคิด น่าหวาดเสียว
(6) โชว์ ต้องขายได้ และต้องได้ขาย!
ปัจจุบันรายการโชว์/ประกวดแข่งขันความสามารถพิเศษนั้นมิได้จบลงที่ผู้แข่งขันชนะเลิศแล้วรับรางวัลเงินกลับไปนอนกอดที่บ้านเช่นในอดีต ตรงกันข้ามมันกลับต้องการสร้างผลประโยชน์ให้ได้มากที่สุดจากการลงแรงผลิตรายการ เช่น การสร้างนักร้อง ดารา คนมีชื่อเสียงจากรายการประกวดต่างๆ เรื่อยไปจนแม้กระทั่งการเป็นพรีเซ้นเตอร์สินค้าเพื่อโปรโมทผู้สนับสนุนรายการ
รายการประกวดร้องเพลง อย่างเดอะสตาร์ หรือ คะคาเดมี่แฟนทาเซีย ก็ใช้แนวคิดนี้ในการทำโชว์ คือ ไหนๆ ก็จะต้องปั้นดารานักน้องเสียแล้ว อย่ากระนั้นเลย ดึงผู้ชมเข้ามามีส่วนร่วมในการลงทุนปั้นดารานักร้องคนนั้นด้วยกันเสีย ส่วนจะมาจากการที่มีจำนวนผู้ชมเข้าชมรายการ เพื่อมีฐานผู้ชมจำนวนมากเอาไปขายโฆษณาผ่านเวลาออกอากาศ หรือจะได้จากเงินค่าโหวตผ่านโทรศัพท์มือถือนั้น ก็แล้วแต่การออกแบบทางการตลาดและธุรกิจจะอำนวย
ฉะนั้นแล้ว ผู้เข้าแข่งขัน จะต้อง “ถูกกำหนด จัดวาง ว่าใคร/คนไหน จะชนะเลิศ” เพราะสามารถใช้ต้นทุนจากเวทีการประกวดไปสร้างมูลค่าทางการตลาดต่อไปได้
ผู้ชนะในเวทีประกวด จึงมักเป็น ที่มีศักยภาพในการพัฒนา ต่อเติม ความสามารถในการขายต่อไปได้มากที่สุด
วิธีคิดเช่นนี้ คือการอาศัยการประหยัดจากขนาดและแนวคิดเรื่องห่วงโซ่คุณค่า (economic of scale and chain value) ที่มองผู้เข้าแข่งขันเสมือนสินค้าทางวัฒนธรรม ที่มีจุดขายได้ หรือนำไปใช้เพื่อให้ได้ขายในสิ่งที่ผู้ผลิต/ผู้จัดต้องการ
ประกอบกับความต้องการของผู้คนในปัจจุบันที่ต่างก็มีความคิดความฝัน อยากเป็นคนสำคัญในสังคม ขอโอกาสที่จะพูด คิด แสดงความสามารถในตัวตน เรื่อยไปจนอยากเป็นดารานักร้อง ก้เข้าทำนองที่ต่างได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน รายการโชว์ก็เป็นเพียง “การแสดงประกอบสร้างความเป็นจริง” ให้เราดูเพื่อความบันเทิง และแฝง+หวังผลประโยชน์กำไรทางธุรกิจรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง
ที่สุดแล้วรายการโชว์ “got talent series show” นี้เป็นเพียงรายการบันเทิงเชิงพาณิชย์แบบหนึ่งทั่วไปที่มีอยู่เต็มจอโทรทัศน์ อาศัยความอยากนำเสนอตัวตนและสามารถของผู้คนทั่วไป มาเป็นต้นทุนในการผลิต อาศัยความอยากดู อยากรู้ อยากชมของผู้ชมเป็นกำไรในการขายโฆษณาสินค้า โชว์หลายชุดนั้นทั้งเรียกน้ำตาและสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ เช่นกันที่หลายชุดกลับฉวยโอกาสทางวัฒนธรรม ความงาม ศิลปะ มาเป็นข้ออ้างในการสร้างกระแสและข้อถกเถียงในสังคม
สิ่งที่สำคัญ คือผู้ชมควรรู้เท่าทันสื่อและนายทุน มิเช่นนั้น เราก็อาจจะถูกตบหน้าฉาดใหญ่เฉกเช่นที่กำลังโดนอยู่นี้