ให้รัฐบาลทำหน้าที่เต็มที่...ทำดี ไม่สร้างความแตกแยก..เพื่อไทย
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป็นคำวินิจฉัยที่ชอบธรรม ทุกฝ่ายทุกสี จึงได้เฮกับผลคำวินิจฉัย สังคมประชาธิปไตยย่อมเป็นเช่นนี้ ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ได้ทั้งหมด และอีกฝ่ายผิดหวังทั้งหมด แต่เป็นเรื่องดีที่เรามีกันและกัน เป็นพี่น้องร่วมชาติกัน แม้บางเรื่องที่เห็นต่างกัน ก็แบ่งปันความพึงพอใจกันบ้าง
ประเด็นที่ 1 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 68 การให้สิทธิแก่ผู้ทราบการกระทำที่ฝ่าฝืนมาตรา 68 สองประการ คือ 1.สามารถให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และ 2.ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกเลิกการกระทำดังกล่าว ศาลเห็นว่าการแปลความดังกล่าวนี้จะเป็นไปตามรัฐธรรมนูญและสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 69
ซึ่งเมื่อผมรับฟังแล้วก็เห็นด้วย โดยเฉพาะเนื้อหา ซึ่งตรงกันคำต่อคำ กับข้อเดียวกัน ในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ซึ่งมีการซักถามกันว่า “อะไรจะเกิดขึ้น หากอัยการสูงสุดรับคำร้องแล้วไม่เดินหน้าต่อ ?” จึงเป็นเหตุผลให้มี “และยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยกเลิกการกระทำดังกล่าว” เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องพิจารณาวินิจฉัยได้ต่อไป
ภาษาไทย มักยังมีช่องทางให้ตีความ ผมเองก็เห็นว่า การตีความตามศาลรัฐธรรมนูญ ถูกต้องและสมเหตุผล
และแม้อาจมีบางคนตีความแตกต่าง ก็ควรยึดตามการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ
จึงไม่ควรมีใครท้าทายอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะไม่ว่าด้วยเหตุผล เจตนารมณ์ และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ ก็ถูกต้องครบถ้วนอยู่แล้ว
ประเด็นที่ 2 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าตาม มาตรา 291 ไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับได้ ควรให้ประชาชนทำประชามติก่อนว่าต้องการให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ หรือแก้รายมาตราโดยสภา
ซึ่งเมื่อผมรับฟังแล้วก็เห็นด้วย ประเทศไทยเราเปลี่ยนรัฐธรรมนูญมาบ่อยเกินไปแล้ว ไม่ควรเปลี่ยนบ่อยๆ ผมเองก็มีส่วนร่วมเป็นหนึ่งในแกนนำกิจกรรม “สีลม สีเขียว” ในการสนับสนุน “รัฐธรรมนูญฉบับ ปี 2540” และ ต่อมา มีผู้มีอำนาจ ละเลยกฎหมาย และรัฐธรรมนูญ ใช้อำนาจเหนือกฎหมาย ซุกซ่อนหุ้น และใช้อำนาจรัฐกระทำการ หรือละเว้นกระทำการเพื่อเอื้อประโยชน์กิจการส่วนตัว ละเลยและกดขี่องค์กรอิสระ ฯลฯ จึงมีการแก้ไขโดยมีร่าง “รัฐธรรมนูญฉบับปี 2550” นี้ ซึ่งผมและเพื่อนๆก็สนับสนุนเช่นเดียวกัน จึงไม่ควรจะมีใครแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยจะต้องทำเป็นทั้งฉบับกันอีก จะแก้ประเด็นใด ก็แก้เป็นประเด็นประเด็นไป
เราก็เป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว ผลเลือกตั้งก็ได้นายกรัฐมนตรีตามเสียงส่วนใหญ่ของประเทศอยู่แล้ว รัฐบาลก็มีภาระหน้าที่ต้องแก้ไขปัญหามากมายอยู่แล้ว มีหลายสิ่งที่ประชาชนกำลังรอคอยอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกระชากราคาสินค้าลงมา เรื่องราคาข้าว 15,000 บาท/ตัน เรื่องค่าแรง 300 บาท/วัน ทั่วประเทศ ฯลฯ
ทุกฝ่ายการเปิดโอกาสให้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ไม่มีต่อต้าน ไม่มีเผา ไม่มีปฏิวัติ ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี จึงไม่ควรที่จะถือว่าต้องล้มล้างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับแต่อย่างใด หากมีใครอยากแก้ประเด็นใดที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย ก็น่าจะแก้เป็นประเด็นๆไปได้
ด้วยสังคมเริ่มระวัง และจับตามองมากขึ้น ดังกรณี ร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง กลับได้ใส่เนื้อหาที่หวัง “ล้างความผิด” ผู้ใช้อำนาจทุจริตแฝงอยู่ จึงกลายเป็น พ.ร.บ. (อ้าง) ปรองดอง ซึ่งทำลายความปรองดองในที่สุด
ผมเรียนรู้ว่า สังคมไทย เป็นสังคมคุณธรรม เป็นสังคมที่มีเมตตาธรรม และเป็นสังคมที่ต้องการสัจธรรม แม้คนส่วนใหญ่จะเห็นชัดว่า อดีตผู้นำทุจริต จนเป็นเหตุให้ต้องถูกยึดทรัพย์ แต่ผมเชื่อว่า และอยากชวนให้ สังคมพร้อมจะพิจารณาหลักฐานเพิ่มเติม ให้โอกาสชี้แจงหลักฐานเพิ่มเติมให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และเชื่อว่า สังคมจะไม่ใจแคบจนไม่ให้โอกาสและไม่ให้ความยุติธรรม หากมีหลักฐานว่า ไม่ได้ซุกหุ้น ที่ผ่านมาเป็นความเข้าใจผิดโปรดชี้แจงเพิ่มเติมได้เลย
ดีกว่าที่จะหาวิธีอื่น ไม่ว่าจะเป็น การล้มล้างรัฐธรรมนูญ การสร้างความแตกแยกในสังคม ฯลฯ มันเป็นบาปต่อแผ่นดินแม่ที่จะสร้างแผลเพิ่มในหมู่พี่น้องชาวไทย
ประเด็นที่ 3 ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ขัดต่อ มาตรา 68 ว่าด้วยการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพราะร่างที่ผ่านวาระ 2 ไปในมาตรา 291/11 มีเขียนป้องกันไว้แล้ว ส่วนประเด็นสุดท้าย ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้รัฐธรรมนูญไม่ขัดต่อ มาตรา 68 ไม่ต้องตัดสินยุบพรรค และตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค
ผมเห็นก็ดีใจ เพราะก็รู้สึกว่า อาจจะรุนแรง หรือดูง่ายเกินไปที่กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ยังไม่ครบ 3 วาระ จะมีโทษถึงขั้นล้มล้างการปกครอง หรือ การยุบพรรคการเมืองกันอีก
รัฐสภาจึงไม่ควรใช้อำนาจ ล้ำเส้นอธิปไตยของประชาชน ด้วยการท้าทายหรือข่มขู่ตุลาการอีก ควรจะถอนการลงมติตามวาระ 3 ออกไป และไม่ควรจะพยายามผ่านร่าง พ.ร.บ. ปรองดอง โดยที่ต้องใส่เรื่องล้างความผิดอาชญากรทุจริตชาติเข้าไปด้วย เพราะเป็นเรื่องที่ต่างหากกัน
มิเช่นนั้น อาจจะกลายเป็นว่า เป็นกระบวนการเอาความปรองดองของชาติ เอาอภัยโทษที่อาจควรให้กับคนหมู่มาก ด้วยเป็นความผิดการเมืองเป็น “ตัวประกัน” เพื่อเรียกค่าไถ่ให้ “ล้างความผิด” ซึ่งเป็นความผิดอาญาของคนบางคนเพียงเท่านั้น
ซึ่งก็จะน่าเสียดาย เพราะความวุ่นวาย ย่อมทำให้โอกาสที่รัฐบาลจะทำหน้าที่ได้เต็มที่ก็จะมีน้อยลง
ปัญหา “แพงทั้งแผ่นดิน” ราคาข้าวยังไม่ถึง 15,000 บาท/ตัน ไทยเสียแชมป์ส่งออกข้าว การป้องกันน้ำท่วมรอบใหม่ การชดเชยความเสียหายน้ำท่วมรอบเก่า ค่าแรง 300 บาท/วันทั่วประเทศ แท็ปเล็ต ซึ่งอาจจะเริ่มมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ จนทำให้การศึกษาฟรี 15 ปี การประกันสุขภาพถ้วนหน้าทำไม่ได้เต็มที่พอเพียง ฯลฯ ก็ล้วนแต่กำลังรอให้รัฐบาลทำงานอย่างมุ่งมั่นเพื่อนประชาชนตามที่สัญญาไว้อยู่ต่อไป
ผมจึงขอให้กำลังใจ ให้รัฐบาลทำหน้าที่เต็มที่...ให้ทำดี ไม่สร้างความแตกแยก...เพื่อไทย