ลึกสุดใจ "ดร.สมเกียรติ"ก่อน-หลัง-ขึ้น"เวที กปปส."ชำแหละทักษิณ
“..ตอนแรกไม่กล้าขึ้นเวทีแบบนี้หรอก ท้ายสุดผมก็เกรงใจพวกเด็กทีมงาน ประสานงาน และคนรอบ ๆ คนสุเทพ เขาชวนผมตั้งแต่ใหม่ ๆ เกือบ 2 เดือน เขาชวนว่าไม่ชอบเวทีราชดำเนิน ก็ไปสีลม แต่ผมก็ไม่ยอมขึ้น เพราะว่าเวลาพูดกลัวคนหลับ ต้องมีสคริปต์ เพราะเป็นวิชาการ.."
ภายหลังการสร้างความฮือฮาให้กับสังคมไทย ด้วยการประกาศจุดยืนทางการเมือง เลือกยืนข้าง "มวลมหาประชาชน" ร่วมขบวนต่อต้านรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี กับกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) และขึ้นเวทีปราศรัย สี่แยกอโศก ในช่วงค่ำวันที่ 23 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา
อธิบายเหตุผลการ "ดื้อแพ่ง" ไม่เชื่อไม่ฟังที่รัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แสดงหลักอารยะขัดขืนอย่างละเอียด พร้อมบอกเล่าประสบการณ์จริงในอดีตที่ตนเองเคยสัมผัส เกี่ยวกับ ตนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และระบบทักษิณ อย่างหมดเปลือย
ชนิดที่เรียกว่า ไม่ต้องมีอะไร "ปิดบัง- ซ้่อนเร้น" อะไรกันอีกต่อไป
หลายคนอาจจะคิดว่า ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน อาจจะยุติบทบาทของตนเองไว้แค่นั้น!
แต่นั้นก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาท่านั้น
เพราะล่าสุดในช่วงเช้าวันที่ 26 มกราคม 2557 ที่ผ่าน "ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล" ประกาศชัดเจนผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัว ชื่อว่า สมเกียรติ อ่อนวิมล | Somkiat Onwimon ว่า "คืนนี้ 20:30 น. [อาทิตย์ 26 มกราคม] ผมขึ้นปราศัยบน เวทีปทุมวัน ครับ"
คำถามที่น่าสนใจคือ อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ "ดร.สมเกียรติ อ่อนวิมล" ตัดสินใจขึ้นเวทีปราศรัยกลุ่ม กปปส.อีกครั้ง?
"การขึ้นเวทีครั้งแรกดีที่สุดแล้ว มีคนเข้ามาแสดงความเห็นชื่นชมเยอะ แต่ถ้าทำครั้งเดียวแล้วจบเลย มันก็คงคุณภาพตรงนั้นไว้ แต่ถ้าพูดแบบเห็นแก่ตัว และไม่ถูกต้องก็คือ คิดว่าหากมีชื่อเสียง และพอแล้ว กลับบ้านแล้ว ผมคงไม่ทำแบบนั้น"
ดร.สมเกียรติ กล่าวยืนยันกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงเบื้องลึกการตัดสินใจขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่ม กปปส. อีกครั้ง ในช่วงค่ำวันที่ 26 มกราคม นี้
ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมว่า “ตอนแรกไม่กล้าขึ้นเวทีแบบนี้หรอก ท้ายสุดผมก็เกรงใจพวกเด็กทีมงานประสานงาน และคนรอบ ๆ คนสุเทพ เขาชวนผมตั้งแต่ใหม่ ๆ เกือบ 2 เดือน เขาชวนว่าไม่ชอบเวทีราชดำเนิน ก็ไปสีลม แต่ผมก็ไม่ยอมขึ้น เพราะว่าเวลาพูดกลัวคนหลับ ต้องมีสคริปต์ เพราะเป็นวิชาการ"
ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมในการขึ้นเวทีครั้งแรก ที่สี่แยกอโศก ช่วงค่ำวันที่ 23 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา ดร.สมเกียรติ จำต้องมีสคริปต์ ถือไว้อยู่ในมือตลอด
ส่วนกระแสตอบรับจากการขึ้นเวทีสี่แยกอโศกนั้น ดร.สมเกียรติ ระบุว่า "ส่วนใหญ่กระแสดีมาก เรารู้ว่าเขาพอใจ”
"ถ้าดูจากความเห็นในเฟซบุ๊กกับทวิตเตอร์มันก็มากจนผมไม่คิดว่าจะมากถึงขนาดนี้ คนชม คนชอบ คนแสดงความพอใจยินดี ตั้งแต่ตอนที่พูดจบตอนลงเวทีก็มีคนขอถ่ายรูปกันเป็นชั่วโมง กว่าจะได้กลับบ้านก็เกือบตีหนึ่ง"
“ก็โอเค คนที่อยู่หลังเวทีก็พอใจ แต่ความเห็นดีมาก ๆ อยู่ในเฟซบุ๊กเยอะ เป็นแสน ๆ คน และมีคนที่เข้ามาแสดงความเห็นเป็นพัน ๆ คน แต่เขาไม่ได้ชอบผมนะ ซึ่งผมได้วิเคราะห์ว่าเขา (คนที่เข้ามาแสดงความเห็น) มีปัญหาที่จะตัดสินใจว่าจะคิดแบบไหนจึงจะถูก เพราะว่าต่อต้านรัฐบาลระบอบทักษิณไม่ไปเลือกตั้ง แต่บางคนบอกว่าต้องไป อย่างน้อยก็ไปเพื่อโหวตโน เพื่อรักษาสิทธิ์ของเราเอาไว้ ดังนั้นประชาชนมีปัญหาในการตัดสินใจไม่อย่างนั้นจะมีคนเข้ามาแสดงความเห็นในเฟซบุ๊กตนถึง 7 – 8 แสนคน”
ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่ตามมานั้น ดร.สมเกียรติ ระบุว่า “มันจะมีนิดหน่อยที่เขาเย้ยหยัน คงเป็นพวกเสื้อแดง แต่ไม่มาก เพราะปกติผมจะโดนด่ามากกว่านี้ แต่จะมีนักคิดบางคนมาจับคิดเรื่ององค์กร International Crisis Group (ICG) ที่จริงมันก็ไม่ผิด เพียงแค่มีคนหนึ่งบอกว่าตนเอา ICG มาบิดเบือนข้อมูล แต่มันก็เป็นเรื่องเทคนิค”
“ ICG บอกว่าพูดเรื่องไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว และต้องพึ่งการชุมนุมครั้งนี้เท่านั้น เช่น เรื่องหญ้าปล้องน้อย แต่ตนก็คิดว่าโดยภาษาที่คนต่างประเทศเขาเขียนงดงามมาก ซึ่งมันเป็นประโยคตอนท้าย แต่ทีนี้มันมีประโยคเกริ่นนำสรุปว่า ต้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก็จริงอยู่ แต่มันต้องเจรจากัน แต่ตนไม่ได้พูดเรื่องเจรจา”
“พูดง่าย ๆ คือเป็นการถกเถียงทางเทคนิค เพราะคน ๆ นี้เคยทำงานอยู่ที่ ICG ที่เมืองไทย เขาบอกทำงานอยู่เป็น 10 ปี และเขาบอกว่าตนไปเรียก ICG ว่าเป็นสำนักอเมริกันมันไม่ถูก เพราะกลุ่มนี้อยู่ที่เบลเยี่ยม ซึ่งอันนี้ผมก็อธิบายไปว่า เรื่องนี้ผมเขียนก่อนขึ้นเวทีตั้ง 1 สัปดาห์แล้ว และทุกอย่างก่อนขึ้นเวทีเป็นเรื่องที่ผมโพสต์ในเฟซบุ๊กเป็นระยะ” ดร.สมเกียรติ กล่าว
ดร.สมเกียรติ กล่าวอีกว่า อย่างเรื่อง ICG เป็นเรื่องที่ตนไปบรรยายที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนหน้านั้นประมาณ 1 เดือน แล้วเขียนลงเฟซบุ๊ก ตนแปลทุกคำ ตนรู้ว่ากลุ่มนี้เรียกว่าบลัสเซล ยูนิต ฉะนั้นเวลาเราเขียนคำปราศรัยตนจะต้องเลือกใช้ความกระชับ มันก็เป็นเทคนิค ตนกลัวว่าถ้าไม่ทำสคริปต์ จะกลัวบรรยากาศพาไป
ส่วนการขึ้นเวทีครั้งที่สอง ที่เวทีปทุมวัน ดร.สมเกียรติ ยอมรับว่า "คงลำบากหน่อย ก็คงระวัง และทำสคริปต์ และก็ไม่ให้มันเป็นส่วนตัว แต่ให้ความจริง และก็สไตล์ภาษาก็คงเป็นแบบเดิม ฉะนั้นก็มีหลายเรื่องที่ต้องแบ่งไว้ เพราะแต่ละครั้งก็ไม่ควรเกิน 30 – 40 นาที" ดร.สมเกียรติ ระบุ
เมื่อถามย้ำว่า การขึ้นเวทีเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องหรือไม่
ดร.สมเกียรติ ตอบว่า "ถูกสิ ปกติมนุษย์เราตัดสินใจแล้วก็หาเหตุผลรอบคอบ ตนใช้เวลาคิด 1 เดือนถึงจะขึ้นเวที เพราะที่ผ่านมาตนสนับสนุนโดยหลักการ แต่โดยวิธีการเรายังกังขาหลายประเด็น"
"ฉะนั้นประเด็นที่ 2 คือตนสรุปตั้งแต่รัฐบาลใช้ความรุนแรง แก๊สน้ำตา และพวกแก๊งค์ทั้งหลาย คือเขาแรง และรัฐบาลไม่คิดว่ากลุ่มคนพวกนี้เป็นประชาชน แต่เขาคิดว่าเป็นศัตรู อันนี้ถือว่าไม่ใช่รัฐบาล และประชาชนพวกนี้หลายล้านคน คุณนับเองก็ได้ หรือดูที่พวกเขาเข้ามาเฟซบุ๊กตน ซึ่งก็หลักล้านคน"
"ฉะนั้นเมื่อตนสรุปอย่างนี้ คือรัฐบาลทำให้ผมสรุป สุเทพได้ปรับวิธีการทำงานหลายครั้ง และได้ขอโทษเรื่องคุกคามสื่อ ซึ่งเรื่องนี้ผมถือเป็นเรื่องใหญ่"
"ผมไม่ได้อายว่าต้องเปลี่ยนความคิดหรือปรับ เพราะมนุษย์เราไม่ได้อยู่ที่เดิม พูดตามหลักวิทยาศาสตร์ Biology หรือชีวะวิทยา เซลส์ของเราเปลี่ยนทุกวินาที ดังนั้นวิธีคิดของเราก็เปลี่ยนได้ แต่ต้องมีเหตุผล ไม่ใช่จุดยืนมั่นคงไปจนตายแล้วโลกมันเปลี่ยน อันนี้ผมไม่มีปัญหา"
"ผมก็บอกคุณสุเทพไปทางอ้อม เพราะผมไม่เคยเจอคุณสุเทพแม้แต่ครั้งเดียวนับแต่เกิดเรื่องชุมนุม แต่ว่าเฟซบุ๊ก – ทวิตเตอร์ แล้วก็ SMS ผ่านไปข้างหลัง ผ่านเด็ก ๆ และพรุ่งนี้คงเจอที่เวทีปทุมวัน"
"ดังนั้นผมตัดสินใจแล้วก็ถือว่า แพ้ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่องที่จะจบเร็ว แต่ตัดสินใจแล้วก็ทำ เพราะในเมื่อตัดสินใจแล้วก็คิด พูด แล้วก็เสนอความเห็น หรือไปเดินร่วมก็ทำได้ ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายหาประโยชน์อะไรส่วนตัว ไม่มีเลย"
เมื่อถามว่า ถ้าเจอคุณสุเทพจะให้คำแนะนำอย่างไรบ้าง
ดร.สมเกียรติ ตอบว่า "ก็คงพูดคุย และให้กำลังใจเป็นธรรมดา"
"ชาวบ้านอาจคิดว่าผมอยู่ข้างหลัง แต่จริง ๆ มันไม่ใช่ ผมถูกตำหนิทุกวันเลยว่าพวกโลกสวยอะไรแบบนี้ แล้วผมก็นั่งฟังคำหยาบ แล้วผมก็บันทึกไว้ว่านักวิชาการที่ขึ้นเวที กปปส. มักพูดคำหยาบ
ผมก็คิดว่าถ้าผมขึ้นไปแล้วเป็นแบบนั้นผมก็ทน บอกให้เขาเปลี่ยนไม่ได้เพราะเขาดังกันหมดแล้ว ซึ่งคุณสุเทพก็พยายามเปลี่ยนลักษณะวิธีพูดไปแล้วบ้าง
เมื่อถามย้ำว่า ในฐานะนักวิชาการสื่อ แต่เข้าไปเลือกข้าง มีหลายคนมองว่าไม่เหมาะสม
ดร.สมเกียรติ ตอบว่า "ผมเป็นคนธรรมดา ผมอายุมากขึ้นยังไม่สูงนัก ผมเป็นเหมือนคนรีไทร์จากงานในชีวิต ผมอยู่เฉย ๆ ผมมีสิทธิ์จะตัดสินอะไรก็ได้ ผมไม่ใช่สื่อมวลชนเลย เพราะไม่มีงานทำ ผมอาจอออกทีวีเมื่อเขาสัมภาษณ์ผมเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำรายการทีวี ไม่ได้ประกอบอาชีพ ไม่มีรายได้"
"ทุกวันนี้ผมไม่มีรายได้จากการทำงานอะไร ยกเว้นรายได้จากการบรรยาย เพราะผมก็พอซื้อกับข้าวกินได้ในชีวิต ฉะนั้นผมไม่ใช่สื่อ ไม่ใช่อาจารย์มหาวิทยาลัย และก็ไม่ใช่นักวิชาการ เพราะว่าไม่มีมหาวิทยาลัยสอน ถ้าสอนพิเศษนิด ๆ หน่อย ๆ อย่างเช่นบรรยายตามมหาวิทยาลัยผมก็ไปเรื่อย แต่ไม่ใช่อาจารย์ประจำที่ไหน ผมจึงไม่ใช่อาจารย์"
เขาเรียกผมว่าอาจารย์ เพราะว่าผมเคยเป็นอาจารย์คณะรัฐศาสตร์ แล้วลาออกมาตั้งแต่ปี 2528 มันก็เรียกติดปากไป และที่ผมได้ปริญญาเอก ก็เนื่องจากผมอยากได้ปริญญาเอก มันไม่เกี่ยวกัน ปริญญาเอกมันก็แค่ผมทำวิทยานิพนธ์เรื่องหนึ่ง เรื่องอินเดีย
"ฉะนั้นสถานภาพผมเหมือนคนธรรมดา ผมเลือกข้างได้เลย ไม่มีปัญหา เป็นชีวิตของผม"
"ถ้าผมเป็นสื่อ ผมก็จะต้องเป็นสื่อตามที่ผมเคยเป็นคือเป็นกระจกสะท้อนความจริง ถ้าผมเป็นผมจะเลือกข้างไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่สื่อเลือกข้าง อันนี้ก็ธรรมดา แต่ว่าตอนนี้ผมไม่ใช่สื่อ ต้องให้ผมเป็นคนธรรมดาสิ" ดร.สมเกียรติกล่าวทิ้งท้าย
ส่วนการขึ้นเวทีครั้งที่สอง "ผลงาน" จะออกมาเป็นอย่างไรนั้น คงขึ้้นอยู่กับประชาชนคนไทย ในฐานะ "ผู้ฟัง" ทั้งด้านล่างเวที และหน้าจอโทรทัศน์
ว่าหลังจากรับฟังไปแล้ว จะตัดสินใจอย่างไร กับ "ข้อมูล-ข้อเท็จจริง" ที่ ดร.สมเกียรติ นำมาเสนอ
โดยเฉพาะข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ดร.สมเกียรติ อ้างว่าสัมผัส และมีประสบการณ์ตรงมาตั้งแต่สมัยเป็นทำงานเป็น นักข่าว ประจำ ไอทีวี !
(หมายเหตุ: ภาพประกอบ ดร.สมเกียรติ จาก เฟซบุ๊ก สมเกียรติ อ่อนวิมล | Somkiat Onwimon)