เที่ยวบิน "มาเลย์" ล่องหน "ไทย” แดนสวรรค์พาสปอร์ตปลอมจริงหรือ?
"...วิธีการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง จะใช้วิธีผ่าเล่ม เปลี่ยนหน้า โดยจะเปลี่ยนรูปถ่ายในหนังสือเดินทางให้เป็นของลูกค้า และมีอีกวิธีโดยจะเปลี่ยนรูปและสอดแทรกกระดาษปลอมบางหน้า ทำให้รูปเล่มพาสปอร์ตเหมือนจริงมาก .."
จากกรณีเครื่องบินโดยสารโบอิ้ง 777-200 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เที่ยวบิน “เอ็มเอช 370” กัวลาลัมเปอร์-ปักกิ่ง ขาดการติดต่อสูญหายไปจากเรดาร์ของหอบังคับการการบิน ประเทศเวียดนาม ภายหลังบินออกจากสนามบินกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย มุ่งหน้าไปลงจอดยังสนามบินกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 8 มีนาคม ที่ผ่านมา ขณะที่ทางการมาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม จีน รวมถึงสหรัฐอเมริกา ต่างระดมกันออกค้นหาด้วยการระดมแสนยานุภาพกองเรือและเครืองบินตรวจการ
นอกเหนือประเด็นเรื่องการค้นหาให้ความช่วยเหลือชีวิต ผู้โดยสาร 239 ราย และลูกเรือปฏิบัติหน้าที่บนเครื่องอีก 12 ราย บนเครื่องบินดังกล่าว ที่ยังไม่มีใครรู้ "ชะตากรรม"อยู่ในขณะนี้แล้ว
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจ จากเหตุการณ์นี้ คือ สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐฯ หรือ เอฟบีไอ ได้แจ้งเตือนมายังทางการมาเลเซีย ว่า ตรวจสอบพบการใช้หนังสือเดินทางปลอม หรือพาสปอร์ตปลอม 2 ฉบับ ของผู้โดยสาร 2 ราย ซึ่งเป็นหนังสือที่เจ้าของตัวจริงถูกโขมยไปจากประเทศไทยเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นของชาวอิตาลี 1 เล่ม และ ออสเตรีย 1 เล่ม
จึงมีความกังวลในประเด็นการก่อการร้ายมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่?
ขณะที่ทางการออสเตรีย ยืนยันว่า หลังจากสถานทูตออสเตรียได้รับข้อมูลว่า มีชาวออสเตรีย 1 คน อยู่บนเครื่องบินของมาเลเซียแอร์ ทางสถานทูตได้มีการตรวจสอบรายชื่อผู้โดยสารแล้ว โดยพบว่าผู้โดยสารคนดังกล่าวได้ใช้หนังสือเดินทางที่ถูกขโมยไปเมื่อ 2 ปีก่อน ขณะที่เจ้าของหนังสือเดินทางซึ่งเป็นชายเคยเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทย
แต่สามารถยืนยันได้ว่า เจ้าของหนังสือเดินทางตัวจริงปลอดภัยดีและยังอยู่ที่บ้านพักของเขาในประเทศออสเตรีย
ส่วนกระทรวงการต่างประเทศของอิตาลี แจ้งว่า ไม่มีผู้โดยสารชาวอิตาลีอยู่บนเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ เช่นกัน แม้จะมีชื่อของชาวอิตาลีอยู่ในบัญชีรายชื่อผู้โดยสาร คือ นายลุยจิ มารัลดี วัย 37 ปี แต่หนังสือพิมพ์คอร์ริเอเรเดลลา เซรา ของอิตาลี รายงานว่าหนังสือเดินทางของนายมารัลดีถูกขโมยไปในประเทศไทยเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2556
เมื่อมีการเปิดประเด็นสงสัยเรื่อง “การก่อการร้าย” สำหรับประเทศไทย แม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง
แต่กรณีการหายไปของพาสปอร์ต 2 เล่ม ย่อมถูกเชื่อมโยงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทยถูกจับตามองจากทางการสหรัฐฯมาโดยตลอดในเรื่องเป็นแหล่งผลิตหนังสือเดินทางปลอม อีกทั้งข้อมูลทั้งฝ่ายตำรวจและฝ่ายความมั่นคงของไทยก็สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน มีการจับกุมเครือข่ายทำพาสปอร์ตปลอมทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติบ่อยครั้ง และยิ่งเทคโนโลยีรุดหน้าไปมาก เครือข่ายเหล่านี้ก็พัฒนากระบวนการไปมากเช่นกัน จากฐานข้อมูลของฝ่ายตำรวจ ปัจจุบันแก๊งปลอมหนังสือเดินทางยังคงเลือกที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตทำผิดกฎหมาย
โดยพฤติกรรมขบวนการปลอมพาสปอร์ต เมื่อสืบลงลึกจะพัวพันเครือข่ายที่เชื่อมโยงถึง การค้ามนุษย์ อาชญากรข้ามชาติ ค้ายาเสพติด ค้าอาวุธสงคราม ไปจนถึงการก่อการร้าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ส่งผลกระทบถึงความมั่นคงของประเทศ
เพราะหนังสือเดินทางปลอมที่จัดทำไปได้นั้น มีราคา และถูกค้าขายส่งต่อกันไป แน่นอนผู้ใช้หนังสือเดินทางปลอมย่อมมีจุดประสงค์ในการใช้ที่ไม่บริสุทธิ์ ตั้งแต่อาชญากรรมเล็กน้อยไปจนถึงการก่อการร้ายที่หลายประเทศหวาดกลัวกัน
เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยว่า สำหรับกลวิธีการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง จะใช้วิธีผ่าเล่ม เปลี่ยนหน้า โดยจะเปลี่ยนรูปถ่ายในหนังสือเดินทางให้เป็นของลูกค้า และมีอีกวิธีโดยจะเปลี่ยนรูปและสอดแทรกกระดาษปลอมบางหน้า ทำให้รูปเล่มพาสปอร์ตเหมือนจริงมาก ซึ่งต้องสแกนข้อมูลและใช้ทักษะในด้านงานศิลป์ เพื่อทำปลอมหนังสือเดินทางเสมือนจริง โดยพาสปอร์ตที่จะนำมาปลอมแปลงได้มาจากการขโมยเล่มตัวจริงและเมื่อได้มาแล้วจะเปลี่ยนเฉพาะใบหน้าเจ้าของพาสปอร์ต โดยจะขายในราคาฉบับละ 1 หมื่นบาท
"ขบวนการนี้จะขโมยหนังสือเดินทางจากหลายประเทศ โดยเฉพาะแถบยุโรป เช่น สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ หรือแม้การขโมยมาจากประเทศอื่นแล้วจะส่งพัสดุมายังประเทศไทย เพื่อทำการปลอมแปลงหนังสือเดินทาง และขายให้ลูกค้าชาวพม่าบังกลาเทศ ที่ต้องการไปยังประเทศที่ 3 ในราคา 2,000-20,000 บาท ขึ้นอยู่กับความยากง่ายและประเทศที่ต้องการจะทำ รวมทั้งส่งหนังสือเดินทางที่ปลอมแปลงแล้วไปยังประเทศต่างๆ ที่สั่งซื้อและสื่อสารทางอินเทอร์เน็ต โดยเชื่อมโยงกับกลุ่มที่กระทำผิดที่นำหนังสือเดินทางที่ปลอมแปลงจากประเทศไทยไปใช้ในการกระทำผิดหลายรูปแบบ เช่น ขบวนการก่อการร้าย การทุจริตบัตรเครดิต การค้ามนุษย์ การลักลอบเข้าเมือง ซึ่งขบวนการนี้นับเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ"
นอกจากนี้ อีกวิธีหนึ่ง คือการผลิตหนังสือเดินทางปลอมซื้อมาทั้งเล่ม โดยการผลิตหนังสือเดินทางส่วนใหญ่จะใช้วิธีพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์เลเซอร์สี ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะนักนิติวิทยาศาสตร์จะต้องพิสูจน์ตรวจจับให้ได้ โดยจะต้องตรวจพิสูจน์เอกสาร คือ การตรวจสอบความถูกต้อง, ความเป็นของจริงหรือของแท้โดยเทียบวัตถุพยาน กับของแท้เพื่อดูความแตกต่าง ซึ่งจะต้องอาศัยทักษะและความชำนาญ เพราะแต่ละเล่มแต่ละชาติก็มีรูปแบบของการปลอมแปลงที่แตกต่างกัน
แม้ว่าบทลงโทษผู้ที่ทำผิดปลอมพาสปอร์ตจะดูหนักเอาการ เมื่อถูกจับกุมได้
แต่ยังไม่สามารถต้านทานให้คนร้ายสำนึกที่จะไม่เข้ามาตั้งฐานปลอมเอกสารสำคัญทางราชการในไทย แต่กลับเห็นได้ว่าขบวนการปลอมหนังสือเดินทางยังคงตั้งหน้าตั้งตาปลอมแปลงกันต่อไปอย่างไม่เกรงกลัว แม้กฎหมายใหม่จะระบุชัดว่า ผู้กระทำผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทางปลอม มีบทลงโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี สูงสุดถึง 20 ปี เนื่องจากเป็นภัยร้ายแรงต่อประเทศก็ตามและการปราบปรามแก๊งปลอมพาสปอร์ต แม้ที่ผ่านมาจะสามารถจับกุมรายใหญ่ได้ แต่ก็ยังมีเครือข่ายที่ยังคอยชักใยใช้ไทยเป็นฐานการผลิตทำผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่เจ้าหน้าที่ภาครัฐไม่เปิดแผนความเข้มข้นเข้าปราบปรามแก๊งนี้อย่างจริงจัง เชื่อได้ว่าไทยจะคงยังต้องเป็นฐานการผลิตพาสปอร์ตปลอมต่อไป
ถ้าย้อนดูข้อมูล ไทยกับมาเลเซีย มีการประสานงานกันต่อเนื่องในเรื่องอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งพาสปอร์ตปลอม
ตัวอย่างเช่น เมื่อเดือนสิงหาคม 2556 ตำรวจมาเลเซียรวบหัวหน้าขบวนการปลอมพาสปอร์ตใหญ่สุดในแถบอาเซียนรวมถึงมือบึ้มย่านสุขุมวิท 71 ของไทยโดยนายไซเอ็ด รามิน มิราซิส ปักเนจาด ชายชาวอิหร่าน วัย 45 ปี และภรรยาถูกจับที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ทั้งนี้นายปักเนจาดถูกจับกุมครั้งแรกในประเทศไทยเมื่อปี 2555 ฐานต้องสงสัยปลอมแปลงเอกสารให้แก่แก๊งค้ามนุษย์ ขบวนการค้ายาเสพติดและผู้ก่อการร้าย รวมถึงกลุ่มชาวอิหร่านที่ก่อเหตุวางระเบิดที่ถนนสุขุมวิท 71 ในกทม.เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 ก่อนหนีการประกันตัวและหลบหนีเข้ามาเลเซีย และพบว่า นายปักเนจาดปฏิบัติการในประเทศไทยมานาน 5 ปีแล้ว ขายหนังสือเดินทางและบัตรประชาชนปลอมกว่า 3,000 ใบ ทำกำไรมากกว่า 9 ล้านริงกิต และได้เริ่มไล่ล่านายปักเนจาดจนจับตัวได้ในที่สุด หลังจากได้รับเบาะแสจากประเทศที่สาม
เรื่องพาสปอร์ตปลอมที่ทำกันเป็นเครือข่ายทั้งหมดเป็นเพียงข้อมูลที่มีอยู่และเกิดขึ้นแล้ว ส่วนจะเชื่อมโยงอะไรกับเหตุเที่ยวบินล่องหนครั้งนี้หรือไม่ ก็ต้องจับตาโดยเฉพาะทางการไทย ต้องเอาจริงเอาจังในเรื่องนี้ ไม่นั้นเกิดเหตุที่ไหน
ประเทศไทยก็จะถูกตำหนิเป็นกระโถนท้องพระโรงอยู่ร่ำไป...