ส.อ.ท.ออกโรงค้านขึ้นค่าแรง 300 บาท อัตราเดียวทั่วประเทศ
พยุงศักดิ์ แถลง 4 ข้อเสนอต่อนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ แจงต้องเป็นไปตาม คกก.ไตรภาคี ด้านรองปธ.ส.อ.ท. ย้ำหากปรับขึ้นอัตราเดียวจริง ภาคอุตฯ “น็อค” หมด ห่วงเอสเอ็มอีไปไม่รอด ชี้ทางออกรัฐต้องออกคูปองลดส่วนต่างรายได้
วันที่ 12 กรกฎาคม นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวภายหลังประชุมคณะกรรมการบริหารวาระพิเศษ ถึงข้อเสนอแนะเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ว่า ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำอัตราเดียวทั่วประเทศ เนื่องจากการปรับค่าแรงขั้นต่ำจะต้องสอดคล้องกับความเป็นอยู่ของพนักงานผู้ ใช้แรงงาน และต้องให้สมดุลระหว่างผู้ประกอบการกับแรงงานรวมทั้งเศรษฐกิจของประเทศด้วย
“การปรับค่าแรงขั้นต่ำ ควรจะเป็นไปตามคณะกรรมการไตรภาคี ที่มีหลักในการปรับตามองค์ประกอบ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ ความสามารถในการจ่ายของนายจ้าง จีดีพี คุณภาพชีวิต ค่าครองชีพ ทั้งนี้ ต้องปราศจากการกดดันจากฝ่ายการเมือง และการพิจารณาต้องเป็นไปตามกฎหมายแรงงาน”
นายพยุงศักดิ์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมมีข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ต่อรัฐบาลชุดใหม่ทั้งหมด 4 ข้อ ได้แก่ 1.ส.อ.ท. ไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน ทั่วประเทศ เนื่องจากกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ 2.การปรับค่าจ้างขั้นต่ำควรปรับตามกลไกตลาด โดยคณะกรรมการไตรภาคีตามกฎหมาย โดยปราศจากการแทรกแซงทางการเมือง 3.หากรัฐบาลจะปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทต่อวัน ส.อ.ท.เสนอให้รัฐบาลหาแนวทางจ่ายส่วนต่างของค่าจ้างดังกล่าว 4.ส.อ.ท.พร้อมที่จะหารือกับภาครัฐ
ประธาน ส.อ.ท. กล่าวด้วยว่า หากรัฐบาลยังยืนยันปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศ แล้วพื้นที่ไหนไม่สามารถปรับตามได้ ภาครับจะต้องช่วยเหลือ ชดเชยส่วนต่างค่าจ้างให้กับผู้ประกอบการ โดยการจ่ายเหมือนกับจำนำสินค้าเกษตร ที่ภาครัฐต้องจ่ายชดเชยในระยะแรก แต่หากรัฐยืนยันว่าไม่ชดเชยก็จะส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคอุตสาหกรรม ดังนั้น การดำเนินกาควรจะค่อยเป็นค่อยไป
ขณะที่นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธาน ส.อ.ท.สายแรงงาน กล่าวว่า การที่รัฐบาลชุดใหม่จะปรับค่าแรง 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างรุนแรง จึงไม่ควรปรับค่าแรงนั้นขึ้นแบบก้าวกระโดด ควรปรับแบบค่อยเป็นค่อยไป และเป็นไปตามกลไกตลาดซึ่งมีคณะกรรมการไตรภาคีทำหน้าที่อยู่แล้ว ที่สำคัญไม่ควรมีระบบการเมืองเข้ามาแทรกแซง
“ภาครัฐต้องเข้าใจว่าการปรับเพิ่มค่าแรงนั้น หากที่กทม.เพิ่ม 40% ต่างจังหวัดเพิ่ม 70% คิดง่ายๆ ว่าธุรกิจไม่มีทางรอดอย่างแน่นอน เนื่องจากแต่ละจังหวัดมีค่าแรง และค่าครองชีพที่ไม่เท่ากัน ฉะนั้น หากปรับเท่ากันทั้งประเทศ จะทำให้ภาคอุตสาหกรรมน็อคหมด ทั้งนี้ทาง ส.อ.ท. ยินดีที่จะหารือกับภาครัฐอย่างเร่งด่วน เพื่อหาแนวทางและทิศทางด้านเศรษฐกิจของประเทศให้เคลื่อนไหวไปได้ และเข้าสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด”
รองประธาน ส.อ.ท. กล่าวต่อว่า ภาคอุตสาหกรรมที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ SME ธุรกิจขนาดกลาง และขนาดย่อม ที่ไม่สามารถจะรับมือได้ ฉะนั้น ภาครัฐไม่ควรผลักภาระต่างๆ เหล่านี้ให้ภาคอุตสาหกรรม ควรเข้ามาอุดช่องว่าง โดยการออกคูปอง ที่เป็นส่วนต่างด้านรายได้ให้ผู้ประกอบการที่ต้องปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ขึ้น