นักธุรกิจหนุนเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ แต่ไม่เอาวิธี “ประชานิยมของนักการเมือง”
ภาคธุรกิจเอกชนตอบรับนโยบายเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 300 ห่วงหากทำทันทีกระทบพ่อค้ารายเล็ก ยันแรงงานไทย-ต่างด้าวต้องได้เท่ากัน “ปรีดา เตียสุวรรณ์” ฉะนโยบายค่าจ้างทำโดยไม่ถกให้ชัด น่ากลัว จะเกทับกันไม่รู้จบ
นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานคณะกรรมการเครือข่ายธุรกิจเพื่อการปฏิรูป และนายปรีดา เตียสุวรรณ์ คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป (คสป.) กล่าวกับศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย ถึงประเด็นนโยบายการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ของว่าที่รัฐบาลชุดใหม่ ภายหลังการจัดนิทรรสการสัญจร และสัมมนาเครือข่ายธุรกิจเพื่อการปฏิรูปสัญจร “โครงการเพื่อลดความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ของประเทศ” ที่จัดโดย เครือข่ายภาคธุรกิจเพื่อการปฏิรูป คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ณ จังหวัดขอนแก่น
นายประมนต์ กล่าวว่า นโยบายเพิ่มรายได้ขั้นต่ำ เป็นความตั้งใจที่รัฐบาลอยากจะลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ แต่จะทำออกมาได้ตามนโยบายหรือไม่นั้น ต้องไปคำนวณดูให้ถ่องแท้ ทั้งนี้ ภาคธุรกิจเอกชนหารือกัน สรุปว่าโดยหลักการของนโยบายไม่มีส่วนใดขัดข้อง และเห็นด้วยว่าควรเพิ่มรายได้ขั้นต่ำให้ผู้ใช้แรงงาน แต่ขณะเดียวกันภาคธุรกิจจะต้องไม่กระทบมากนัก ควรมีความพอดี เช่น หากค่าแรงสูงขึ้นต้องทำให้ผลผลิตมากขึ้น ลดค่าใช้ด้านอื่นเพื่อคุมต้นทุนให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งต่างประเทศได้
“ผลกระทบที่อาจเกิดต่อภาคธุรกิจ จะเป็นไปได้หรือไม่หากจะลดหลั่นภาษีบางอย่างลง เพราะหากอำนวยความสะดวกให้ลดต้นทุนได้ ก็จะเป็นการลดค่าใช้จ่ายจริงที่จะทำให้ทั้งระบบดีขึ้น ทั้งนี้ หากค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มขึ้นแล้ว จะมีผลกระทบทั่วประเทศอย่างแน่นอน แต่เป็นผลกระทบที่ไม่เท่ากัน เช่น ผู้ประกอบการรายใหญ่จะเดือดร้อนน้อยกว่ารายเล็กๆ หรือธุรกิจครอบครัว ที่หากได้รับผลกระทบรุนแรงทันทีจะไม่สามารถอยู่ได้ ดังนั้น จึงเป็นการบ้านสำหรับข้อสำคัญสำหรับผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ต้องให้ความสนใจ และต้องกลับไปดูรายละเอียดให้ถ่องแท้ คือ ทำอย่างไรให้ความตั้งใจที่จะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเกิดขึ้นได้ แต่ต้องมีช่วงเวลาและมีการชดเชย”
เมื่อถามถึงการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำสำหรับแรงงานต่างด้าว หรือแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน นายประมนต์ กล่าวว่า ควรต้องจ่ายให้เท่าเทียมกัน เพราะจ้างทำงานเหมือนกัน อาจจะดูระดับฝีมือ และคุณภาพแรงงานบ้าง แต่ตามกฎหมายแรงงานก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องในระดับเดียวกัน
ขณะที่นายปรีดา กล่าวว่า การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุนและควรกระทำ แต่ไม่ใช่วิธีการที่จับยัดโดยระบอบประชานิยมของนักการเมือง เพราะการกำหนดนโยบายโดยนักการเมืองที่กระทบกลไกเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่ต้องระวังอย่างมาก หากมีการยอมรับนโยบายโดยไม่ถกกันอย่างชัดเจนถึงผลดีและผลเสีย การเลือกตั้งครั้งต่อไปก็จะมีพรรคการเมืองอื่นๆ อีกหลายพรรคเกทับการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำที่มากกว่า 300 บาทไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัว
“สำหรับจุดยืนของคณะสมัชชาปฏิรูป ที่สานต่อมาอย่างชัดเจน คือ เรื่องกระจายอำนาจและลดความเหลื่อมล้ำ ทั้งการกระจายรายได้ กระจายสิทธิ์ และกระจายความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรซึ่งเป็นหัวใจหลัก แต่ที่เราไม่อยากเห็น คือ การแทรกแซงกลไกโดยใช้ระบอบประชานิยม ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย” นายปรีดา กล่าว และว่า หากนักการเมืองจะการแก้เรื่องกระจายรายได้ หรือเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ ต้องแก้ที่คณะกรรมการไตรภาคี เพราะรัฐบาลมีอำนาจเต็มที่ในการบริหารคณะกรรมการ โดยหากรัฐบาลต้องการให้เกิดความจริงใจ และประสิทธิภาพ ควรแต่งตั้งคณะวิชาการในคณะกรรมการไตรภาคี ทั้งนี้ นักวิชาการเหล่านี้ต้องคัดเลือกจากคนที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเป็นนักวิชาการอย่างแท้จริงในการหาคำตอบว่าค่าแรงขั้นต่ำของประเทศไทยควรจะเป็นอย่างไร วิธีนี้จะเป็นที่ยอมรับมากกว่าระบอบประชานิยมของนักการเมือง