นักวิชาการ มช. ชี้ กม.ไม่ได้ขวางการเข้าถึงที่ดิน โทษกลไกตลาดที่ครอบงำ
ศ.ดร.อานันท์ ชี้ปัญหาความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงที่ดินไม่ได้ขึ้นกับกลไกของกฎหมาย แต่เป็นการถูกกลไกการตลาดครอบงำ ภายใต้อุดมการณ์ “เสรีนิยมใหม่”
เมื่อเร็วๆนี้ สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับภาคีเครือข่าย จัดการประชุมวิชาการ เรื่อง “ความเป็นธรรมและความไม่เป็นธรรมในสังคมไทย” โดยในงานมีการนำเสนอผลการศึกษา “ความไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรที่ดิน” โดยนางสาวพงษ์ทิพย์ สำราญจิตร เครือข่ายปฏิรูปที่ดินแห่งประเทศไทย (คปท.) และมีการแลกเปลี่ยนความเห็นโดย ศ.ดร.อานันท์ กาญจนพันธุ์ จากภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ศ.ดร.อานันท์ กล่าวว่า การพยายามผลักดันการแก้ไขปัญหาบนพื้นฐานในเรื่องความเป็นธรรมและไม่เป็นธรรม โดยพยายามจะใช้ประเด็นที่ว่าให้เราสงสารคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเพื่อแก้ปัญหานั้นก็จะไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้
“ถ้าเรายังให้สังคมรับรู้ว่า ควรต้องสงสารคนเหล่านี้ มันก็คงยังแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่าวิธีการมองปัญหาที่นำเสนอค่อนข้างจะติดอยู่กับตัวปัญหา ซึ่งควรจะมีการยกระดับให้มีการมองกว้าง ขยายออกไปในระดับที่มองเห็นความเชื่อมโยงมากขึ้น”
นักวิชาการด้านมานุษยวิทยา กล่าวอีกว่า ต้องเข้าใจสังคมไทยอยู่ในยุคของโลกาภิวัตน์ โดยมีอุดมการณ์สำคัญอันหนึ่งที่ครอบงำอยู่ นั่นคือ “เสรีนิยมใหม่” ซึ่งมีความคิดอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก คือ ตลาดเป็นกลไกที่ทำงานด้วยตนเอง และมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการจัดการที่ขึ้นอยู่กับกลไกลการตลาดจะมีประสิทธิภาพ
“จะเห็นได้ว่าวิธีการจะแก้ปัญหา เช่น ในเรื่องของการปฏิรูปที่ดิน ก็มีการแจก ส.ป.ก. ให้สิทธิ์กับปัจเจกบุคคล เพราะเราคิดว่าการแจกแบบนี้จะทำให้กลไกการตลาดนั้นดีขึ้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่า อุดมการณ์ที่เชื่อในกลไกตลาดว่าทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงสุด และกำลังทำงานได้ดีมากในสังคมไทย”
นอกจากนี้ ศ.ดร. อานันท์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ชาวบ้านเข้าไปอยู่อาศัยในเขตป่าสงวน หรือเขตอุทยานฯ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับว่าการใช้ประโยชน์ในที่ดินเหล่านั้นที่ไม่ตรงกับนโยบาย ดังนั้นไม่ใช่การผิดกฎหมายแต่เป็นการไม่สอดคล้องกับนโยบายมากกว่า
“จากหลายๆกรณีเกี่ยวกับเรื่องที่ดิน มีการเลือกปฏิบัติ คือ ถ้ามีการทำการเกษตรในเขตที่รัฐประกาศทับซ้อน โดยเป็นการปลูกไว้สำหรับบริโภคเองนั้น เป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าปลูกพืชที่ตอบสนองต่อตลาดเช่น ยางพารา ซึ่งมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจดี แม้จะอยู่ในเขตของรัฐก็สามารถทำได้ แสดงให้เห็นว่า มีการยึดตลาดเป็นกลไกที่สำคัญที่สุด ดังนั้นการทำอะไรแล้วช่วยให้ตลาดทำงาน แม้จะผิดกฎหมายก็ไม่ถูกดำเนินคดี ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องกฎหมายที่เป็นปัญหา แต่เป็นเรื่องของการที่ว่าทำให้ตลาดทำงานได้หรือไม่”
ศ.ดร.อานันท์ กล่าวว่า ถ้ามองปัญหาในภาพใหญ่ ปัญหาเรื่องความเป็นธรรมและไม่เป็นธรรมในการเข้าถึงที่ดิน ไม่ใช่เรื่องของการมีกลไกของกฎหมายมาขัดขวาง แต่เป็นปัญหาที่ว่าเราถูกครอบงำด้วยความคิดที่ว่ากลไกตลาดทำงานได้ดีที่สุด และไม่ใช่เรื่องความไม่เป็นธรรมอย่างเดียว แต่ต้องพูดว่า กลไกทางการตลาดที่ทำอยู่นั้นไม่มีประสิทธิภาพอย่างเดิมอีกแล้ว ดังนั้นการแก้ไขปัญหาที่สำคัญที่สุดคือ ต้องไม่ปล่อยให้กลไกตลาดทำงานเพียงอย่างเดียว แต่ต้องจัดการด้วยหลักการเชิงซ้อนมากขึ้น จัดการด้วยวิธีคิดหลายแบบ เข้ามาช่วยให้มีการถ่วงดุลซึ่งกันและกัน ถึงจะทำให้เกิดการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นธรรม
ในช่วงท้าย ศ.ดร.อานันท์ กล่าวด้วยว่า ปัญหาของทรัพยากรเป็นปัญหาของการใช้ แต่วิธีแก้ปัญหาในปัจจุบันเป็นการแก้ปัญหาโดยให้กรรมสิทธิ์ ปัญหากับวิธีแก้ไข จึงสวนทางกัน และไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ ดังนั้นต้องจัดการในส่วนของการใช้ ให้ภาคประชาสังคมเข้ามามีส่วนร่วม ให้กลไกท้องถิ่นเข้ามาตรวจสอบ และถ่วงดุลในการจัดการมากยิ่งขึ้น เพราะจะเป็นการมาถ่วงดุลในเรื่องการจัดการของตลาด โดยไม่ใช่วิธีการเรียกร้องให้สังคมสงสารในเรื่องที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม
“ถ้าอยากที่จะพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้า ใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เราจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีกลไกมากกว่ากลไกตลาดมาช่วย เป็น “กลไกเชิงซ้อน” ได้แก่ กลไกสังคม วัฒนธรรม สถาบัน ความเข้าใจ เข้ามาเสริม โดยมีการศึกษาวิจัยมาช่วยหาองค์ความรู้ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางที่จะก้าวหน้าไปมากกว่านี้ เพราะการใช้ทรัพยากรของเรา นอกจากจะไร้ความเป็นธรรมแล้ว ยังไร้ประสิทธิภาพ เกิดความล้มเหลวอีกด้วย”