การตายอันเงียบกริบของ"เจะรอฮานี" กับกรณี"อุ้มหาย"ในสังคมไทย
การสังหาร เจะรอฮานี ยูโซ๊ะ กลางถนนในท้องที่ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ทั้งๆ ที่ดวงตะวันยังไม่สิ้นแสง แทบไม่ปรากฏเป็นข่าวในสื่อแขนงใด แม้แต่ตำรวจ ทหารในพื้นที่ก็ไม่ได้ให้ความสนใจว่าเธอคือใคร เพราะเมื่อนักข่าวสอบถามไปก็ไม่มีใครรู้ สะท้อนให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจต่อคดีความมั่นคงในพื้นที่...ไม่ว่า “ตาย” หรือ “หาย” กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียหมด
ทั้งๆ ที่การเสียชีวิตของเธออนุมานได้ว่าน่าจะเกี่ยวเนื่องกับกรณีที่สามีของเธอ นายอับดุลเลาะห์ อาบูคารี หายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อราว 2 ปีก่อน โดยสามีของเธอเป็นพยานปากสำคัญในคดีซ้อมทรมานผู้ต้องหาคดีปล้นปืนซึ่งเป็นลูกความของทนายสมชาย นีละไพจิตร อดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม ซึ่งถูกอุ้มหายไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว
ปรากฏการณ์ลักษณะนี้ปรากฏอยู่ดาษดื่นในสังคมไทย ตัวอย่างที่เป็นตลกร้ายก็เช่น ช่วงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและดีเอสไอค้นหาโครงกระดูกของทนายสมชายซึ่งคาดว่าเสียชีวิต ก็ได้พบกับโครงกระดูกนิรนามอีกมากมายซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร และหน่วยงานของรัฐหรือแม้แต่ผู้คนในสังคมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้แสดงความสนใจใคร่รู้อีกด้วย
สภาพการณ์เช่นนี้เองที่ทำให้การ “อุ้มฆ่า-อุ้มหาย” หรือที่เรียกด้วยภาษาทางการว่า “การถูกบังคับให้สูญหาย” ยังคงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในประเทศไทย
เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 1 ก.ย.2554 ที่โรงแรมอโนมา กรุงเทพฯ นางอังคณา นีละไพจิตร ประธานมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ ภรรยาของทนายสมชายที่ถูกอุ้มหายไปนานกว่า 7 ปี ได้ร่วมกับเครือข่ายญาติผู้สูญหายทั่วประเทศจัดกิจกรรมเนื่องในวันรำลึกถึงผู้สูญหายสากล และการเสวนาหัวข้อ “ความท้าทายของรัฐบาลใหม่ในการแก้ไขปัญหาผู้ถูกบังคับให้สูญหาย”
ทั้งนี้ ภายในงานได้มีการบรรยายสรุปภาพรวมของปัญหาการบังคับให้บุคคลหายสาบสูญในประเทศไทย "ทีมข่าวอิศรา" เห็นว่ามีเนื้อหาน่าสนใจ จึงนำมาเสนออย่างละเอียด ดังนี้
1.การบังคับให้บุคคลหายสาบสูญ: อาชญากรรมใกล้ตัวที่มองไม่เห็น
การหายสาบสูญโดยถูกบังคับ หรือการสูญหายโดยไม่สมัครใจซึ่งเกิดขึ้นในประเทศไทยได้ถูกบันทึกไว้นับตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2490 เป็นต้นมา แม้ว่าในปัจจุบันตัวเลขทางสถิติและรายชื่อผู้หายสาบสูญโดยถูกบังคับในกรณีของประเทศไทยจะยังไม่ได้รับการยืนยันและเป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณะ แต่จากเอกสารและการเก็บข้อมูลโดยตรงแสดงให้เห็นว่าการหายสาบสูญโดยถูกบังคับของบุคคลเป็นวิธีการนอกกฎหมายวิธีหนึ่งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทยบางคนเลือกใช้ปฏิบัติภายใต้สถานการณ์การปราบปรามการก่อการร้าย, การเกิดจลาจลโดยเฉพาะในช่วงเวลาที่มีความขัดแย้งทางการเมืองอันเป็นไปได้ว่าจะกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ, ในช่วงสงครามยาเสพติด หรือกรณีที่เหยื่อมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับผู้มีอิทธิพลหรือเจ้าหน้าที่รัฐบางคน
การหายสาบสูญโดยถูกบังคับยังอาจเกิดจากการที่เหยื่อถูกควบคุมตัวในสถานที่ลับ หรืออาจถูกทรมานจนเสียชีวิต ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายพิเศษที่ให้อำนาจปราบปรามแก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งรวมถึงการปิดบังซ่อนเร้นและทำลายศพ
มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพได้เก็บข้อมูลการบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศไทยไว้มากกว่า 90 กรณีที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.2534-2554 ทั่วประเทศและคาดว่าไม่ได้มีเพียงเท่านี้ เช่น กรณีของ นายทนง โพธิ์อ่าน ผู้นำแรงงานที่หายตัวไปในปี พ.ศ.2534 กรณีการสูญหายมากกว่า 30 รายระหว่างการสลายการชุมนุมเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2535 การสูญหายในช่วงสงครามยาเสพติดภายใต้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในปี พ.ศ.2546 กรณีการสูญหายของประชาชน 34 คนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ตั้งแต่ปี พ.ศ.2545- 2554 ซึ่งเป็นผลจากนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายภายใต้รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ และรัฐบาลต่อๆ มา
การหายสาบสูญของนายสมชาย นีละไพจิตร นักกฎหมายสิทธิมนุษยชนซึ่งถูกบังคับให้สูญหายในกรุงเทพมหานคร เมื่อเดือน มี.ค.2547 การถูกบังคับให้สูญหายของ นายกมล เหล่าโสภาพันธ์ นักกิจกรรมต่อต้านการทุจริตในเดือน ก.พ.2551 และมีจำนวนไม่น้อยที่ผู้สูญหายเป็นผู้ทำงานปกป้องสิทธิมนุษยชนในด้านต่างๆ รวมถึงผู้เรียกร้องประชาธิปไตย นอกจากนั้นยังมีกรณีการบังคับสูญหายอีกเป็นจำนวนมากที่องค์กรสิทธิมนุษยชนอื่นได้บันทึกไว้อย่างไม่เป็นทางการ
ทั้งนี้ พบว่าจำนวนผู้สูญหายที่มีการเปิดเผยรายชื่อมีจำนวนเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าตกใจในช่วงรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไรก็ตาม การบังคับบุคคลสูญหายก็ยังดำเนินอยู่ภายหลังการรัฐประหาร และต่อเนื่องถึงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
2.การหายสาบสูญโดยถูกบังคับ: ผลกระทบต่อเหยื่อและผลสะเทือนต่อสังคม
การหายสาบสูญโดยถูกบังคับไม่เพียงเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อตัวของ เหยื่อโดยตรง แต่ยังส่งผลสะเทือนในระยะยาวมาสู่ครอบครัว เครือญาติ และชุมชนของผู้สูญหายด้วย
มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพริเริ่มการทำงานกับเหยื่อทางอ้อม (Secondary Victims) เหล่านั้น และพบว่าพวกเขากำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงในการดำเนินชีวิตอย่างมากอันเนื่องมาจากการขาดกฎหมายและมาตรการที่เหมาะสม รวดเร็ว ทั่วถึงเพียงพอในการเยียวยาและอำนวยความเป็นธรรมจากรัฐบาล
ปัญหาที่ครอบครัวผู้ถูกบังคับสูญหายต้องประสบประกอบด้วย
- ภาวะความไม่มั่นคงทางอารมณ์ มีความวิตกกังวล ภาวะความเครียดสูง ญาติหลายรายประสบกับภาวะความรู้สึกสิ้นหวังในชีวิต บางส่วนไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้ และหลายรายก็ประสบปัญหาสุขภาพกายตามมา ทั้งนี้เนื่องมาจากการไม่รู้ความจริงเกี่ยวกับชะตากรรมของผู้สูญหาย และการมีชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว
- ครอบครัวผู้สูญหายประสบความยากลำบากในการดำเนินชีวิตด้วยข้อจำกัดทางกฎหมาย เช่น การไม่สามารถจัดการทรัพย์สิน, ไม่สามารถสมรสใหม่, ขาดสิทธิในการจัดการบุตร และการไม่สามารถเข้าถึงสิทธิในการได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสมจากรัฐ
- คดีส่วนใหญ่ที่ญาติของเหยื่อร้องเรียนต่อพนักงานสอบสวนไม่ปรากฏความก้าวหน้า สุดท้ายทุกคดีพนักงานสอบสวนหรืออัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง คดีตัวอย่าง 2 คดี ได้แก่ คดีทนายสมชาย นีละไพจิตร และ นายกมล เหล่าโสภาพันธ์ ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ไม่ปรากฏความก้าวหน้าในการสืบสวนสอบสวน
ข้อท้าทาย
1. มูลนิธิฯพบว่าครอบครัวผู้สูญหายส่วนใหญ่ยังมีความหวาดกลัวในความไม่ปลอดภัย และสิ้นหวังในการรับความคุ้มครองจากรัฐ
2. มูลนิธิฯได้รับรายงานจากครอบครัวผู้สูญหายบางครอบครัวว่า ได้มีเจ้าหน้าที่หน่วยงานความมั่นคงบางหน่วยพยายามสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการสูญหายของเหยื่อ และพยายามโน้มน้าวให้ญาติของเหยื่อเชื่อว่าเหยื่อมิได้ถูกทำให้หายหายสาบสูญโดยถูกบังคับ เพียงแต่อาจหลบหนีไปเอง หรือเสียชีวิตแล้ว
3. มีผู้หายสาบสูญโดยถูกบังคับจำนวนหนึ่งในประเทศไทยที่ UN WGEID - UN Working Group on Enforced or Involuntary Disappearance รับไว้เป็นคดีคนหายของสหประชาชาติ โดยมูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพได้สังเกตรายงานของรัฐบาลไทยที่รายงานความก้าวหน้าคดีคนหายต่อองค์การสหประชาชาติ พบว่ารัฐบาลไทยได้ตอบคำถามกรณีการสูญหายของบุคคลเป็นลักษณะการ “แก้ตัว” มากกว่า “แก้ปัญหา”
ทั้งนี้ รัฐบาลมิได้แสดงให้เห็นถึงความพยายามในการคลี่คลายคดี การให้สิทธิแก่เหยื่อในการเข้าถึงความจริง ความยุติธรรม และการเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพ และความพยายามในการแก้ไขปัญหาการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ ทำให้ญาติไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลไทยมีความจริงใจในการติดตามหาตัวผู้สูญหาย
ข้อเสนอแนะต่อรัฐบาล
จากข้อมูลสถานการณ์ภาพรวมของการบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศไทยทั้งหมดข้างต้น นำมาซึ่งข้อกังวลในการทำหน้าที่ในการแก้ไขปัญหาทางการเมือง, ปัญหาการระบาดของยาเสพติด, การปราบปรามกลุ่มก่อความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมถึงท่าทีของรัฐบาลต่อการสร้างมาตราการปกป้องนักสิทธิมนุษยชนที่จะเชื่อมโยงไปถึงนโยบายในการสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นในสังคมไทย
มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพจึงมีข้อเสนอต่อรัฐบาลนายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดังต่อไปนี้
1.รัฐบาลต้องแสดงความจริงใจที่จะเคารพกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล โดยให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสายสูญโดยถูกบังคับ และปรับเนื้อหากฎหมายภายในประเทศให้การบังคับบุคคลให้สูญหายเป็นการประกอบอาชญากรรมและมีบทลงโทษ
2.รัฐบาลควรตอบรับการมาเยือนของผู้ตรวจการพิเศษด้านต่างๆ ของสหประชาชาติที่แสดงเจตจำนงในการเข้ามาตรวจสอบสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย เช่น ผู้ตรวจการพิเศษด้านเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นคณะทำงานด้านการบังคับให้บุคคลหายสาบสูญหายโดยไม่สมัครใจ, คณะทำงานด้านการคุมขังตามอำเภอใจ, ผู้ตรวจการพิเศษด้านการสังหารโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม, ผู้ตรวจการพิเศษด้านนักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือผู้ตรวจการพิเศษด้านสิทธิ เสรีภาพของประชาชนในสถานการณ์การปราบปรามการก่อการร้าย
อีกทั้งควรเป็นตัวอย่างประเทศแรกในการเชิญผู้ตรวจการพิเศษด้านการชุมนุมอย่างสันติ เพื่อมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เป็นต้น
3.ปรับปรุงกฎหมายเพื่อให้แน่ใจว่าประเทศไทยได้ปฏิบัติตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน, กฎอัยการศึก, พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร, พระราชบัญญัติการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
4.จัดตั้งกลไกระดับชาติเพื่อเยียวยาครอบครัวของเหยื่อที่หายสาบสูญโดยถูก บังคับอย่างเหมาะสมและมีมาตรฐานที่น่าเชื่อถือ ที่สำคัญต้องสนับสนุนให้เหยื่อเข้าถึง “ความจริง” เกี่ยวกับชะตากรรมของผู้สูญหาย ความยุติธรรม และการเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถือเป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์
5.คดีต่างๆ ที่เกิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องมีการสืบสวนอย่างรวดเร็ว โปร่งใส ละเอียดถี่ถ้วน และเป็นธรรมตามมาตรฐานการพิจารณาคดีสากลโดยศาลที่เป็นอิสระ เพื่อยุติวัฒนธรรมการงดเว้นโทษในประเทศไทย
สุดอุกอาจชักปืนยิง จนท.ขณะขอค้นที่ยะหา
ด้านสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงเกิดเหตุรุนแรงขึ้นบ้างประปราย โดยเมื่อวันศุกร์ที่ 2 ก.ย.2554 เวลา 16.15 น. พ.ต.อ.นรินทร์ บูสะมัญ ผู้กำกับการ สภ.ยะหา จ.ยะลา พร้อมกำลังทหารหน่วยเฉพาะกิจยะลา 14 และฝ่ายปกครอง ได้สนธิกำลังกันกว่า 30 นายเข้าปิดล้อมตรวจค้นหมู่บ้านบูเก๊ะ หมู่ 2 ต.บาโงยซิแน อ.ยะหา หลังสืบทราบว่า นายมะอิสลาม ตือระ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66 หมู่ 2 ต.ยะลา อ.เมือง จ.ยะลา ผู้ต้องหาตามหมาย ฉฉ (หมายเชิญตัวที่ออกโดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ได้หลบเข้าไปกบดานอยู่
อย่างไรก็ดี ระหว่างเจ้าหน้าที่กำลังตรวจค้น ปรากฏว่าพบนายมะอิสลามนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นบีท 150 สีขาวคาดฟ้า หมายเลขทะเบียน ขคล 900 ยะลา สวนออกจากหมู่บ้าน โดยมี นายฮัพเสาะ วาเลาะ อายุ 28 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของ สภ.ยะหา และ สภ.ลำใหม่ 2 คดี คือคดีพยายามฆ่า และ คดีขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และเคยยิงปะทะกับเจ้าหน้าที่มาแล้ว 3 ครั้ง เป็นคนขับ
ทั้งนี้ หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจของ สภ.ยะหา จดจำรูปพรรณนายมะอิสลามได้ จึงเรียกให้หยุด ปรากฏว่าทั้งคู่ไม่ยอมให้ตรวจค้น ซ้ำยังใช้อาวุธปืนพกไม่ทราบขนาดยิงใส่เจ้าหน้าที่ติดต่อกันหลายนัด เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงใช้อาวุธปืนยิงตอบโต้ จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้นนานหลายนาที เมื่อเสียงปืนสงบลง พบนายมะอิสลามหลบซ่อนอยู่ จึงเข้าควบคุมตัวพร้อมรถจักรยานยนต์ ส่วนนายฮัพเสาะอาศัยช่วงชลมุนวิ่งหลบหนีเข้าป่ายางพาราท้ายหมู่บ้านไปได้อย่างหวุดหวิด จึงควบคุมตัวนายมะอิสลามไปซักถามที่หน่วยเฉพาะกิจยะลา 14 ต่อไป
ยิง ชรบ.ดับ-วัยรุ่นตันหยงลิมอปางตาย
วันพฤหัสบดีที่ 1 ก.ย. เวลา 18.50 น. คนร้ายจำนวน 1 คน ใช้อาวุธปืนไม่ทราบชนิดและขนาดซุ่มยิง นายนูรูดิน ปานาวา อายุ 34 ปี ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) หมู่ 3 บ้านกือยา ต.ละแอ อ.ยะหา จนเสียชีวิต เหตุเกิดขณะนายนูรูดินยืนอยู่ที่หน้าบ้านของตนเองในท้องที่หมู่ 3 บ้านกือยา เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร
เวลา 21.30 น.วันเดียวกัน คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนสงครามยิง นายซาเรฟ บากา อายุ 17 ปี อยู่บ้านเลขที่ 14 บ้านตันหยงลิมอ หมู่ 7 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ได้รับบาดเจ็บสาหัสขณะขี่รถจักรยานยนต์อยู่บนถนนสายฮูลูปาเร๊ะ-บ้านตันหยงลิมอ หมู่ 7 ต.ตันหยงลิมอ เพื่อไปซื้อของที่ร้านค้าในหมู่บ้าน เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการลอบยิงเช่นกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------------
บรรยายภาพ :
1 บ้านที่ เจะรอฮานี ยูโซ๊ะ เคยอาศัยกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ภายหลังสามีของเธอหายตัวปริศนา และตัวเธอก็มาถูกยิงเสียชีวิต
2 ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับกุมได้ที่ อ.ยะหา จ.ยะลา ภายหลังพยายามยิงต่อสู้กับเจ้าหน้าที่เพื่อไม่ให้ตรวจค้น (ภาพโดย อะหมัด รามันห์สิริวงศ์)