"จนท.มูลนิธิสืบฯ" เผย ปัญหาปากท้อง สบช่องนายทุนรุกป่า
"ยุทธนา เพชรนิล" แจง ชาวบ้านหนี้สินรุงรัง ทั้งค่าเล่าเรียนลูก-ผ่อนรถ จึงต้องเร่งขยายพื้นที่เพาะปลูก ผุดไร่มัน-ไร่ข้าวโพดกลางป่า สุดท้ายไปไม่รอด ต้องขายที่ดินให้นายทุนเพื่อปลดหนี้
นายยุทธนา เพชรนิล เจ้าหน้าที่มูลนิธิสืบ นาคะเสถียรและผู้ประสานงานโครงการสมุนไพรอินทรีย์ในป่าตะวันตก ให้สัมภาษณ์กับ “ศูนย์ข้อมูลข่าวสารปฏิรูปประเทศไทย” เกี่ยวกับ "โครงการสมุนไพรอินทรีย์ในป่าตะวันตก" ของมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ภายในงาน "รำลึก 21 ปี สืบ นาคะเสถียร จากเมืองสู่ป่า" ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 2-4 กันยายน 2554 ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร กรุงเทพฯ ว่า ที่มาของโครงการดังกล่าวเกิดจากการเล็งเห็นว่า ปัญหาปากท้อง เป็นสาเหตุสำคัญของการบุกรุกทำลายป่า เพราะเมื่อชาวบ้านมีหนี้สินมากก็ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ไปใช้ในการเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยว อย่างเช่น ข้าวโพด มันสำปะหลังฯ เนื่องจากให้เงินจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว
นายยุทธนา กล่าวต่อว่า การปลูกพืชเชิงเดี่ยวนั้นต้องแลกมากับการสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก เพราะแต่ละครัวเรือนต้องพื้นที่ในการเพาะปลูกประมาณ 50-100 ไร่ อีกทั้งมีแนวโน้มในการขยายพื้นที่ออกไปเรื่อยๆ ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่เข้าไปเจรจาขอให้ยกเลิกการถางป่าเพื่อปลูกพืชเชิงเดี่ยวก็ได้รับคำตอบว่า หากเจ้าหน้าที่รัฐใช้เงินหนี้แทนตนและครอบครัวก็พร้อมจะเลิกทันที ซึ่งในเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะคงไม่มีใครสามารถใช้หนี้แทนคนเป็นร้อยเป็นพันได้ ดังนั้น จึงต้องหาวิธีแก้ไข ทำอย่างไรให้ชาวบ้านสามารถเลี้ยงตนเองได้
“ทางโครงการจึงเข้าไปส่งเสริม ดึงชุมชนที่ได้รับสิทธิให้อาศัยอยู่ในเขตป่ามาปลูกพืชสมุนไพรในรูปแบบอินทรีย์ เพราะเห็นช่องทางว่า พืชชนิดนี้ยังมีอนาคตอีกไกลคนยิ่งมีการศึกษา มีรายได้ ยิ่งห่วงสุขภาพ อีกทั้งมีต้นทุนการผลิตต่ำ ใช้พื้นที่น้อยประมาณ 2-3 ไร่เท่านั้น ขณะที่ผลตอบแทนอยู่ในระดับน่าพอใจประมาณ 10,000 บาทต่อไร่ ซึ่งรายได้ดังกล่าวนับว่าเพียงพอต่อการเลี้ยงดูครอบครัว”
นายยุทธนา กล่าวอีกว่า แม้รายได้จากการปลูกสมุนไพรจะน้อยกว่าการปลูกข้าวโพด แต่ในเรื่องความเสี่ยงกลับคุ้มค่าอย่างมาก เช่น การปลูกข้าวโพดบางปีอาจได้เงินเป็นแสน แต่บางปีก็อาจศูนย์ไปเลย เพราะต้นทุนสารเคมี ยาฆ่าแมลงสูง ฯ ขณะที่สุมนไพรมีรายได้ตลอด แต่อยู่ที่ได้มากหรือน้อยเท่านั้น ส่วนในเรื่องสุขภาพ ปลอดสารเคมีสุขภาพก็ย่อมดีขึ้น ในที่สุดเมื่อชาวบ้านสุขภาพดี ไม่มีหนี้ ชาวบ้านก็จะมีความเข็มแข้ง ไม่รุกป่า ไม่ขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่ม
“การไล่ล่าจับกุมการรุกป่าทุกวันนี้ คงต้องมองลึกลงไปด้วยว่า เมื่อชาวบ้านมีหนี้สินจำนวนมาก ทั้งค่าเล่าเรียนลูก ผ่อนรถ สุดท้ายนอกจากขยายพื้นที่เพาะปลูกให้มากขึ้นแล้ว ก็ต้องขายที่ดินเพื่อปลดหนี้ เพราะเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เนื่องจากที่ดินจะมีเอกสารสิทธิ์หรือไม่ก็สามารถขายให้กับนายทุนได้หมด ดังนั้น ถ้าเราเข้าไปสร้างอาชีพ เป็นพี่เลี้ยงในเรื่องการจัดการหาตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ อาจเห็นแนวโน้มการรุกป่าในทิศทางที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ นายยุทธนา กล่าวด้วยว่า สำหรับสมุนไพรอินทรีย์ที่ผลิตได้นั้นมีทั้งขมิ้นชัน ใบรางจืด กระเจี๊ยบแดง ดอกอัญชัน ฯ ซึ่งวัตถุดิบดังกล่าวจะส่งไปขายยังโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร จังหวัดปราจีนบุรี ขณะที่อีกส่วนก็มีการแปรรูปโดยกลุ่มชุมชนเอง อาทิ น้ำมันแก้ปวดเมื่อย น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ น้ำมันงา ชา พริกกระเหรี่ยง เป็นต้น ส่วนรายได้ทั้งหมดจะถูกบริหารจัดการโดยกลุ่มชุมชน
“โครงการสมุนไพรอินทรีย์ในป่าตะวันตก ดำเนินการเข้าสู่ปีที่ 2 ปัจจุบันมีสมาชิก 12 ชุมชน 33 ครัวเรือน ทั้งในจังหวัดกาญจนบุรีและสุพรรณบุรี ขณะที่พื้นป่าตะวันตกกินพื้นที่ทั้งสิ้น 12 ล้านไร่ใน 6 จังหวัดได้แก่ ตาก นครสวรรค์ กำแพงเพชร อุทัยธานี กาญจนบุรี สุพรรณบุรี และคาดว่าต่อไปโครงการจะกระจายเข้าไปทั่วทุกพื้นที่ดังกล่าว”