'ประมนต์ สุธีวงศ์' เสนอเปิดช่องทางด่วน รับเรื่องคอร์รัปชั่นไปพิจารณาตัดสิน
“ธีรภัทร์” ระบุ ‘ผลประโยชน์ทับซ้อน’ รุนแรงกว่าคอร์รัปชั่น-ติดสินบน ด้าน “ปธ.ภตค.” ปลุกกระแสต้านโกงได้ กระบวนการยธ.ต้องเร็ว-ไม่ใช่รอจนคนทำผิดตาย เสนอ แก้กม.ให้คดีคอร์รัปชั่น ไม่มีอายุความ
วันที่ 19 ธันวาคม คณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา จัดเสวนาเรื่อง “สินบน สินน้ำใจ:ภัยของชาติ” ณ โรงแรมรอยัลลิเวอร์ กรุงเทพฯ โดยมีนางสาวรสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา เป็นประธานเปิดการเสวนา
นางสาวรสนา กล่าวถึงปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น การร่ำรวยผิดปกติของนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง รวมถึงกระแสสังคมเกี่ยวกับการโกงเพียงเล็กน้อยไม่เป็นไร ถ้าชาติได้รับการพัฒนา ทำให้ประเทศไทยถูกจัดอันดับการคอร์รัปชั่นอยู่ในอันดับที่ 80 เพิ่มขึ้นอีกสองอันดับจากปี 2553 สิ่งเหล่านี้ทำให้ต้องมองว่า สังคมไทยเกิดอะไรขึ้น กระบวนการตรวจสอบภาครัฐ ภาคประชาชนขาดด้อยประสิทธิภาพหรือไม่ ทั้งที่หลายฝ่ายพยายามในการแก้ไข
นางสาวรสนา กล่าวว่า การทุจริตคอร์รัปชั่นนั้นเกิดจากกลุ่มคน 3 ฝ่าย ได้แก่ นักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจ ซึ่งเหมือนเป็นเสา 3 ต้นที่ค้ำกันอยู่ ดังนั้นจะไปหวังพึ่งแต่นักการเมืองหรือข้าราชการเท่านั้นไม่พอ ภาคเอกชนก็ต้องเข้ามามีบทบาทสำคัญในการแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น นอกจากนี้ภาคประชาชนก็ต้องเข้ามามีส่วนร่วมเช่นกัน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำให้การทุจริตมีต้นทุนสูงขึ้น
สินบน สินน้ำใจ ภัยของชาติ
จากนั้นมีการเสวนาเรื่อง “สังคมไทยกับปัญหาคอร์รัปชั่น” โดยดร.ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ปัจจุบันปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นได้พัฒนาการต่อเนื่อง จนกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าการให้สินบน สินน้ำใจที่ครั้งเดียวจบ ยกตัวอย่าง เช่น ปตท. ถ้าไม่มีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ประชาชนคงไม่ต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงเช่นทุกวันนี้ ทั้งนี้ เรื่องการคอร์รัปชั่นนั้น ถ้าไม่ได้รับการแก้ไข สุดท้ายจะนำไปสู่ปัญหาความไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำในสังคม
ดร.ธีรภัทร์ กล่าวถึงประวัติศาสตร์ของการคอร์รัปชั่นว่า เกิดขึ้นในทุกสังคม ทุกทวีป ไม่ว่าจะยุโรป กรีกโบราณ หรือประเทศจีน อินโดนีเซีย ส่วนบทลงโทษที่มีการบันทึกไว้พบว่า ในฮัมมูราบี รัฐได้กำหนดบนเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นไว้ถึงตาย หรือมีโทษจองจำตลอดชีวิต ขณะที่ประเทศไทยก็มีพัฒนาการในเรื่องการคอร์รัปชั่นเช่นกัน โดยพบว่า ลิลิตโองการแช่งน้ำได้วาง บทลงโทษในเรื่องการคอร์รัปชั่นไว้อย่างรุนแรง เช่นเดียวกับสมัยกฎหมายตราสามดวง โทษการคอร์รัปชั่นรุนแรงถึงขั้นเป็นการกระทำต่อองค์พระมหากษัตริย์ แต่ปัจจุบันประชาชนไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องคอร์รัปชั่นมากนัก ส่วนใหญ่มองว่าธุระไม่ใช่ เป็นหน้าที่ขององค์กรที่รับผิดชอบ ขณะเดียวกันการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็หละหลวม ผู้กระทำความผิดก็ได้รับโทษน้อย นอกจากนี้มาตรการป้องกันในหมู่นักเรียนนักศึกษาก็หย่อนยาน
“นิสิตนักศึกษาส่วนหนึ่งเมื่อเข้าไปทำงานในองค์กรที่มีการทุจริตมาก ก็ยากที่จะประพฤติตนเป็นแกะขาว ในหมู่แกะดำ ในที่สุดก็ถูกหล่อหลอมไปตามเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่ สิ่งเหล่านี้เป็นปัญหาที่หมักหมม กลายเป็นปัญหาทุจริตที่ต่อเนื่องถึงทุกวันนี้”
ดร.ธีรภัทร์ กล่าวต่อว่า องค์กรที่มีการทุจริตคอร์รัปชั่นสูง มักเป็นองค์กรที่มีดุยลพินิจในการตัดสินใจมาก ซึ่งทางออกในการแก้ปัญหาดังกล่าว ได้แก่ 1.การกระจายอำนาจการเมืองการปกครองไปสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาพบว่า การรวมศูนย์อำนาจนำไปสู่การคอร์รัปชั่นที่สำคัญ แต่ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการคอร์รัปชั่นในระดับท้องถิ่น การกระจายอำนาจดังกล่าวต้องพิจารณามาตรการอื่นๆ ควบคู่ไปด้วย 2.การกระจายรายได้ 3.การกระจายอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมือง เพราะโครงการขนาดใหญ่ในบ้านเรามีโอกาสทุจริตสูงมาก โครงการระดับหลักพัน หลักหมื่นล้าน ได้ส่วนแบ่งแค่ 5%-10% ก็เป็นเงินมหาศาล ทำให้การเสี่ยงมีความคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม การแก้ปัญหาคอร์รัปชั่นนั้นก็เป็นภาระของทุกฝ่าย
เสนอเปิดช่องทางด่วนรับเรื่องคอร์รัปชั่น
ขณะที่นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่น กล่าวว่า จากการจัดอันดับเรื่องการคอร์รัปชั่นของต่างประเทศ พบว่าประเทศไทยอยู่ในอับดับที่ด้อยมาก ประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียยังแซงหน้า อยู่ในอับดับที่ดีกว่า ซึ่งขณะนี้ภาคเอกชน ในนามเครือข่ายภาคีต่อต้านคอร์รัปชั่น ได้ร่วมกับผลักดันให้ภาครัฐมีการแสดงราคากลางที่เปิดเผย มีการจับมือกันของกลุ่มของบริษัทประมาณ 50 กว่าแห่งในการไม่จ่ายใต้โต๊ะ โดยหลายสิ่งหลายอย่างที่นั้นก็เพื่อต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ป้องกัน นอกจากนี้ยังเดินหน้าในการปลูกฝังจิตสำนึกให้แก่เด็ก เยาวชนในการต่อต้านคอร์รัปชั่น เพื่อหวังการชะลอปัญหาการคอร์รัปชั่นที่จะเกิดขึ้น
ส่วนวิธีการที่จะทำให้สังคมตื่นตัวในเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชั่นอย่างรวดเร็วนั้น นายประมนต์ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมต่างๆ ต้องรวดเร็ว ศาลอาจจะมีขั้นตอน หรือทางด่วนในการรับเรื่องคอร์รัปชั่นไปพิจารณาตัดสิน เพราะเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลง บทลงโทษ เราก็จะช่วยประณามคนที่ไม่ดีได้ ไม่ใช่รอจนกระทั่งผู้กระทำความผิดตาย อีกทั้งหากคดีคอร์รัปชั่น กลายเป็นคดีที่ไม่มีอายุความจะเป็นเรื่องที่ดีมาก
เจอคอร์รัปชั่น ปชช. 68% เลือกอยู่เฉย
ด้าน ดร.ถวิลวดี บุรีกุล ผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า กล่าวว่า การทุจริตคือการใช้ของหลวง ใช้ข้อมูลของทางราชการไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งจากการศึกษาเรื่องความเข้าใจและทัศนคติการคอร์รัปชั่นและการรับสินบนในการปกครองพบว่า ประชาชนมีความเชื่อว่าการคอร์รัปชั่นในระดับประเทศมีมากกว่าท้องถิ่น และโดยภาพรวมคนไทยไม่เห็นด้วยกับการคอร์รัปชั่น แต่เมื่อพบเจอการทุจริตคอร์รัปชั่นกลับพบว่า ประชาชน 68% เลือกที่จะอยู่เฉย ไม่ขอเข้าไปยุ่งเกี่ยว
ส่วนความเชื่อมั่นต่อองค์กรด้านการตรวจสอบการทุจริต พบว่า ประชาชนบางส่วนยังไม่รู้จักสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ไม่รู้จักผู้ตรวจการแผ่นดิน ทำให้ไม่ทราบว่าจะไปร้องเรียนที่ใด
ดร.ถวิลวดี กล่าวถึงการทุจริตคอร์รัปชั่น ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในสังคม ซึ่งข้าราชการจะต้องมีความรับผิดชอบ รวมถึงต้องมีกลไกและแนวทางปฏิบัติที่เปิดเผยในการต่อต้านคอร์รัปชั่น ประการสำคัญทุกภาคส่วนต้องขับเคลื่อนด้วยใจของทุกคน
ส่วนนายชัยรัตน์ ขนิษฐบุตร ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย ป.ป.ช. กล่าวถึงสถานการณ์ทุจริตในประเทศไทยว่า ตั้งแต่ ป.ป.ช. เปิดรับเรื่องร้องเรียนจนถึงปี 2550 พบว่ามีเรื่องร้องเรียนเฉลี่ยปีละ 2,000 เรื่อง ขณะที่ปี 2551-2553 มีเรื่องร้องเรียนเฉลี่ยปีละ 3,000 เรื่อง สถานการณ์ทุจริตไม่ได้ลดน้อยถอยลง แต่กลับมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ซึ่งการดำเนินงานตามอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. จะเพิ่มบทบาทของประชาชนในการมีส่วนรวมต่อต้านการทุจริต
นอกจากนี้ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง นายชัยรัตน์ กล่าวว่า ป.ป.ช. ได้เข้ามาดูแลในขั้นตอนการเสนอราคา กำหนดให้มีการจัดทำราคากลาง วิธีการคำนวณราคากลาง รวมถึงบัญชีรายรับรายจ้าง เพื่อให้ประชาชนเข้าไปตรวจสอบ ส่วนมาตรการในการส่งเสริมนั้น ป.ป.ช. ได้มีการให้รางวัลแก่ผู้ที่แจ้งเบาะแสการทุจริต การคุ้มครองพยาน หรือการกั้นผู้กระทำความผิดไว้เป็นพยาน อีกทั้งยังมีการเสนอให้ออกกฎหมายอีก 3 ฉบับ เพื่อช่วยให้การปราบปรามคอร์รัปชั่นในปัจจุบันมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ขณะนี้กฎหมายดังกล่าวได้ตกไปแล้ว คงต้องรอให้รัฐบาลเป็นผู้เสนอขึ้นมาใหม่อีกครั้ง