“ดร.สมิทธ” หวั่นระบบเตือนภัยไร้ประสิทธิภาพ จี้ผู้บริหารเอาใจใส่
ครบรอบ 7 ปีสึนามิ "ดร.สมิทธ" เสนอ สร้างอาคารสูงริมหาด ใช้หลบภัยยามฉุกเฉิน ชงท้องถิ่นทำข้อเสนอถึง รบ. ด้าน "ดร.อมรวิชช์" แนะ ให้อำนาจหน้าที่ท้องถิ่นจัดการพิบัติภัย เหตุความช่วยเหลือส่วนกลางไม่ทันการณ์
วันที่ 26 ธันวาคม สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัดภูเก็ต เทศบาลเมืองป่าตอง มูลนิธิสภาเตือนพิบัติแห่งชาติ จัดมหกรรมเด็กไทยเรียนรู้ภัยพิบัติ ลงพื้นที่ให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนภาคใต้ เนื่องในวาระรำลึกเหตุการณ์สึนามิ ครบรอบ 7 ปี ณ สวนสาธารณะโลมา ตำบลป่าตอง อำเภอกระทู้ จังหวัดภูเก็ต โดยในงานมีการเปิดเวทีเสวนาเรื่อง “โมเดลเรียนรู้ภัยพิบัติกับการจัดการสึนามิ และเยาวชนไทยเรียนรู้อะไรจากมหันตภัยธรรมชาติ”
ดร.สมิทธ ธรรมสาโรช ประธานกรรมการมูลนิธิสภาเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ หนึ่งในกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการ ทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวว่า เหตุการณ์ที่ผ่านมาการขาดองค์ความรู้ในเรื่องสึนามิ เป็นเหตุให้ประชาชนสูญเสียชีวิตจำนวนมาก ดังนั้นการให้องค์ความรู้แก่เด็กและเยาวชนจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อมีการสอนเด็กให้รู้จักหนีภัยธรรมชาติแล้ว ก็จะสามารถนำความรู้ไปถ่ายทอดให้แก่ปู่ยาตายาย พ่อแม่ได้ ในที่สุดเมื่อเกิดเหตุขึ้นก็จะสามารถพาตนเองหลบหนีภัยได้
"เช่นเดียวกับเด็กหญิงชาวอังกฤษ เมื่อ 7 ปีก่อนที่เข้ามาเผชิญภัยสึนามิในประเทศไทย แต่เนื่องจากมีความรู้เกี่ยวกับสึนามิ ภูมิศาสตร์เบื้องต้นจากโรงเรียน ทำให้เธอรอดพ้นจากภัยพิบัติดังกล่าว ดังนั้น จึงอยากให้เด็กไทยเป็นเช่นนั้นบ้าง ไม่ใช่เห็นภัยพิบัติแล้วไม่รู้ มัวแต่ไปจับปลาหรือถ่ายรูป"
ดร.สมิทธ กล่าวถึงเรื่องระบบการเตือนภัยว่า หลังจากเหตุการณ์สึนามิ ประเทศไทยได้มีการจัดทำระบบเตือนภัยเป็นอย่างดี ขณะนี้ประเทศไทยมีหอเตือนภัย 100 กว่าแห่ง แต่ก็ไม่มั่นใจว่า ระบบจะทำงานได้ดีอย่างเดิมหรือไม่ ซึ่งหากระบบการเตือนภัยทำได้อย่างมีประสิทธิภาพก็สามารถช่วยป้องกันความเสียหายได้ระดับหนึ่ง ขณะที่ความเสี่ยงภัยในการดำเนินชีวิตจะน้อยลง ฉะนั้น ผู้บริหารระดับท้องถิ่น จังหวัด ประเทศต้องเอาใจใส่ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตของประชาชน กระทบต่อรายได้ของประเทศ
ส่วนมาตรการป้องกันภัยพิบัติสึนามิเพิ่มเติมนั้น ดร.สมิทธ กล่าวว่า ในพื้นที่ชายหาดที่อยู่ห่างจากภูเขา เช่น บริเวณเขาหลัก เมื่อเกิดสึนามิขึ้น ประชาชนจะไม่สามารถหนีได้ทัน ดังนั้น ควรมีการก่อสร้างอาคารสูงที่มีความแข็งแรงและน้ำรอดผ่านด้านล่างของตัวอาคารได้ไว้ตลอดแนวหาด เพื่อใช้เป็นที่หลบภัย ซึ่งงบในการลงทุนก่อสร้างโครงการดังกล่าวเชื่อว่าจะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ามูลค่าความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติ ทั้งนี้ ท้องถิ่น อย่าคอยให้ผู้บริหารดำเนินการ แต่ควรทำข้อเสนอส่งไปยังรัฐบาล หากรัฐบาลไม่ทำแล้วความเสียหายเกิดขึ้น ก็เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
ด้าน ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ที่ปรึกษาด้านวิชาการ สสค. กล่าวว่า ประเทศไทยมีโอกาสเจอภัยพิบัติมากกว่าหลายประเทศในกลุ่มอาเซียน อาทิ สิงค์โปร์ หรือมาเลเซีย เราเหมือนเจอ 2 เด้ง ขณะเดียวกันยังเกิดภัยพิบัติในหลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งสึนามิ มหาอุทกภัย ดังนั้น การเรียนรู้ทั้งสังคมเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาควรเข้ามามีบทบาทในการเผยแพร่องค์ความรู้ การสังเกตปรากฏการณ์ หาทางหนีทีไล่ต่างๆ
"ขณะที่ท้องถิ่นต้องเข้ามาดูแล ไม่ใช่ในลักษณะของความสมัครใจ แต่ต้องเป็นการมอบหมายหน้าที่ตามกฎหมาย โดยรัฐบาลกลางเข้ามาลงทุน ให้งบประมาณและเตรียมความพร้อม เพราะที่ผ่านมาการจัดการหลายเรื่องส่วนกลางลงมาไม่ทัน" ดร.อมรวิชช์ กล่าว และถอดบทเรียนจากต่างประเทศในการบริหารจัดการวิกฤตภัย ซึ่งมีทั้งสิ้น 12 เรื่อง ได้แก่ 1.รัฐบาลต้องตั้งศูนย์บัญชาการในยามภัยพิบัติ โดยไม่รวมศูนย์อำนาจไว้ที่เดียว 2.เน้นการประสานงานที่รับฟังทุกภาคส่วน 3.ใส่วิธีคิดเรื่องการลดความเสี่ยงวิบัติเข้าไปในวิธีคิดของทุกภาคส่วน 4.การสื่อสารท่วมกลางวิกฤตต้องยึดความถูกต้อง 5.ให้ความสำคัญกับการลงทุนป้องกันโดยเฉพาะพื้นที่ยากจน เพราะเป็นพื้นที่สูญเสียมากที่สุด
6.การให้ความรู้ทางเทคนิคในระดับพื้นที่ เกี่ยวกับมาตรการ เครื่องมือในการป้องกันสถานที่สำคัญ 7.รัฐและท้องถิ่นต้องจัดการระบบป้องกันดูแลร่วมกัน 8.ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยในการสื่อสาร 9.ท้องถิ่นต้องได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบการวางระบบป้องกันและเยียวยาภัยพิบัติอย่างเป็นทางการ 10.ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นแก้ไขปัญหาภัยพิบัติ 11. ครูและโรงเรียนเป็นเครื่องมือสร้างการเรียนรู้และเพิ่มขีดความสามารถของชุมชนในการรับมือภัยธรรมชาติ และ 12.คนยากจนมักได้รับผลกระทบสูงสุด การให้เงินช่วยเหลือ จึงไม่ควรเป็นมาตรฐานเดียว
จากนั้นในช่วงบ่ายคณะครูและนักเรียนโรงเรียนสตรีวัดมหาพฤฒาราม นำชุดการเรียนรู้ “สึนามิโมเดล” ซึ่งเป็นผลงานที่ได้รับการสนับสนุนจาก สสค.ไปมอบให้แก่โรงเรียนสตรีภูเก็ต เพื่อใช้เป็นโมเดลในการเรียนรู้เรื่องสึนามิต่อไป