ดร.สุเมธ ขันน็อต บริหารจัดการน้ำ มัวโอ้เอ้ไม่ได้แล้ว ต้องทำทันที
ที่ปรึกษา กยน. ตั้งข้อสังเกต หน่วยงานรัฐรุกที่บึงบอระเพ็ด จี้กระทรวง ทบวง กรม เรียกคืนที่ดินสาธารณะ ใช้เป็นแก้มลิง เชื่อ เตรียมการตั้งแต่ต้นน้ำ ช่วยทุเลาปัญหาได้
วันที่ 13 ธันวาคม ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และที่ปรึกษาคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารทรัพยากรน้ำ (กยน.) กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง “การบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริ สู่การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน” ในงานเสวนาเรื่อง “น้ำ! มิตรหรือศัตรู กับหนทางสู่ความผาสุกที่ยั่งยืน” ซึ่งจัดโดยหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ที่โรงแรมมิราเคล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ
ดร.สุเมธ กล่าวว่า ธรรมชาติ ซึ่งประกอบด้วยดิน น้ำ ลม ไฟ ล้วนเป็นปัจจัยของชีวิต แต่ขณะนี้เรากลับมองเห็น 'น้ำ' เป็นศัตรู ตามสายตาของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งบางทีก็อาจไม่รู้ตัว
“มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ และตลอดระยะเวลา 60 ปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองราชย์ พระองค์ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากพยายามรักษา ดิน น้ำ ลม ไฟ พยายามรักษาสิ่งที่มี ให้คงอยู่ ขณะเดียวกันก็ฟื้นฟู สิ่งที่เสียไปให้กลับคืนมา พระองค์ทรงพยายามทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะสอนด้วยวาจา หรือทำให้ดู”ดร.สุเมธ กล่าว และว่า ที่ผ่านมาเราเห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่เคยมองในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ซึ่งพระองค์ก็ไม่เคยปริปาก อีกทั้งยังทรงระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ทรงรับสั่งอยู่เสมอว่า พระองค์ดำรงอยู่ในฐานะที่ปรึกษาของประเทศเท่านั้น
ดร.สุเมธ กล่าวถึงปัญหาเรื่องน้ำว่า เป็นปัญหาของเราทุกคน น้ำจะเป็นมิตรหรือศัตรูขึ้นอยู่กับมนุษย์ เพราะธรรมชาติก็หมุนเวียนไปตามวัฏจักร คนสมัยโบราณมองทรัพยากรเป็นเทพ แต่ปัจจุบันกลับมองทุกอย่างเป็นเงิน ต้นไม้โค่นกันทุกวัน ช้างก็ล่าเพื่อเอางา เอาอวัยวะ หวังจะมีอิทธิฤทธิ์แค่ 7 วินาที เพราะฉะนั้น ความโง่เขลาเบาปัญญาเหล่านี้ จึงขึ้นอยู่กับสติปัญญาของมนุษย์ในการบริหารจัดการ
“ไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น มนุษย์ทั่วโลก 6,500 ล้านคนที่ใช้ทรัพยากรธรรมชาติเพื่อสร้างอำนาจ ต้องตระหนักถึงความยั่งยืน เพราะในอีก 30 ปีข้างหน้าจำนวนประชากรโลกจะเพิ่มแบบทวีคูณเป็น 9,000 ล้านคน ในขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติมีอยู่อย่างจำกัด”
ส่วนการทำงานในคณะกรรมการ กยน. ดร.สุเมธ กล่าวว่า ตนเป็นที่ปรึกษาไม่ค่อยรู้อะไรมากในเรื่องน้ำ ตำแหน่งที่ปรึกษาก็ตั้งไว้แบบโก้ๆ เห็นได้จากเวลาถูกฟ้องร้อง ที่ปรึกษามักไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่อย่างไรก็ตามความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติก็ยังสามารถคาดคะเนได้อยู่บ้าง
“ตามสถิติสถานการณ์น้ำของไทยตั้งแต่ปี 2493 – 2540 พบว่า ปริมาณน้ำมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,374 มิลลิเมตรต่อปี แต่หลังจากปี 2549 พบว่า ปริมาณน้ำอยู่ในระดับที่สูงเกินค่าเฉลี่ยทุกปี โดยเฉพาะในปี 2554 ปริมาณน้ำสูงถึง 1,800 มิลลิเมตร จึงทำให้น้ำท่วม อีกทั้งจากข้อมูลปริมาณฝนและสัดส่วนที่กักเก็บได้ในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ พบว่า ประเทศไทยมีค่าเฉลี่ยน้ำฝนทั้งประเทศ 745,338 ล้าน ลบ.ม. แต่กลับมีปริมาณน้ำไหลลงอ่างเพียงร้อยละ 5.9 ของปริมาณฝนเท่านั้น ปล่อยให้น้ำส่วนที่เหลือไหลไปตามยถากรรม” ดร.สุเมธ กล่าว และว่า เมื่อรถต้องการถนน น้ำก็ต้องการถนนสายน้ำ หรือฟลัดเวย์เช่นกัน แต่เมื่อกรุงเทพฯ ที่เคยขึ้นชื่อว่าเวนิสตะวันออก ไม่มีทางน้ำเหลืออยู่ จึงจำเป็นต้องรีบบริหารให้น้ำเป็นมิตร จะมัวโอ้เอ้วิหารรายไม่ได้ ต้องเริ่มดำเนินการทันที
ดร.สุเมธ กล่าวถึงการแก้ปัญหาน้ำว่า ต้องแก้ตั้งแต่ต้นน้ำ เนื่องจากขณะนี้ต้องยอมรับว่าภูเขาทางภาคเหนือหัวโล้นไปหมดแล้ว เพราะความโลภของมนุษย์ที่นำต้นยางพารา ไม้ผลเข้าไปแทนที่ต้นไม้ใหญ่ ส่วนโรงงานอุตสาหกรรมเข้าไปอยู่ในร่องน้ำ นอกจากนี้พื้นที่หน่วงน้ำก็ถูกบุกรุก
“บึงบอระเพ็ด จังหวัดนครสวรรค์ เดิมที่มีพื้นที่ 100,000 กว่าไร่ ปัจจุบันเหลือเพียง 30,000 กว่าไร่เท่านั้น ที่น่าแปลกคือ หน่วยงานราชการของรัฐจำนวนมากเข้าไปตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ฉะนั้น พื้นที่สาธารณะในความดูแลของกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่ปัจจุบันถูกบุกรุก รัฐจะต้องเข้าไปจัดการ เพื่อนำพื้นที่กลับมาใช้เป็นแก้มลิง เพราะพื้นที่แก้มลิงนั้น เปรียบได้กับธนาคารน้ำ เมื่อเกิดภาวะน้ำแล้งก็สามารถนำน้ำจากธนาคารมาใช้ได้”
สำหรับการประยุกต์แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการบริหารจัดการน้ำนั้น ดร.สุเมธ กล่าวว่า ต้องใช้น้ำอย่างพอประมาณ เหมาะสมกับศักยภาพน้ำที่มีอยู่ กระจายโอกาสการเข้าถึงทรัพยากรน้ำอย่างเป็นธรรม รวมทั้งขยายการพัฒนาทางเศรษฐกิจโดยคำนึงถึงข้อจำกัดของน้ำ ไม่ใช่มือใครยาวสาวได้สาวเอา อย่างเช่น สนามกอล์ฟบางแห่งที่คอยดักน้ำ หรือออกโฉนดค่อมทางน้ำ
“การจัดการน้ำต้องจัดลำดับความสำคัญในการลงทุน เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ จึงต้องเน้นให้ความสำคัญต่อการฟื้นฟูเพิ่มขีดความสามารถแหล่งน้ำที่มีอยู่ก่อนการสร้างใหม่ ขณะที่การจัดการน้ำที่เกิดจากชุมชนก็เป็นเรื่องสำคัญ ยกตัวอย่าง ชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ที่ลงมือขุดคลองขวางน้ำเป็นระยะทาง 20 กว่ากิโลเมตรด้วยตนเอง เพื่อรับน้ำหลากและน้ำฝน รวมถึงพัฒนาคลองซอย สร้างสระน้ำประจำไร่นา เพื่อเป็นแก้มลิงจากคลองสายหลัก”
สำหรับความวิตกกังวลน้ำจะท่วมหรือไม่นั้น ดร.สุเมธ กล่าวว่า หากเราเตรียมการตั้งแต่ต้นน้ำก็จะช่วยบรรเทาทุเลาลงได้ ทั้งนี้ ในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวพระราชดำริในการบริหารน้ำไว้ ตั้งแต่ท้องฟ้าจนถึงทะเลอย่างครบถ้วน เพียงแต่เราได้ทำอะไรแล้วบ้าง ประการสำคัญต้องทำอย่างถูกต้อง โปร่งใส เอาน้ำมาเป็นมิตรให้ได้