นักลงทุนต้องการพิมพ์เขียว แก้น้ำท่วม ดร.เสรี มอง รบ.ไทยมีให้แค่กรอบวงเงิน
ผู้เชี่ยวชาญน้ำ ชม รบ.ญี่ปุ่นกล้าประกาศรับผิดเหตุสึนามิ ท้า รบ.ไทยกล้าหรือไม่แจงสาเหตุที่แท้จริง ขณะที่หอการค้าไทย เผย แผนยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตชาติโล๊ะแผนพัฒนาฯ มายำรวมกัน
วันที่ 13 มกราคม หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดสัมมนา เรื่อง “น้ำ! มิตรหรือศัตรู กับหนทางสู่ความผาสุกอย่างยั่งยืน” โดยมี รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผอ.ศูนย์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติ ม.รังสิต นายฉัตรชัย บุญรัตน์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และนางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร กรรมการรองเลขาธิการ และประธานกรรมการบริหารบริษัท โตชิบา ไทยแลนด์ จำกัด ร่วมสัมมนา ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์
ดร.เสรี กล่าวถึงสถานการณ์น้ำของประเทศในปีนี้ว่า ยังมีความเสี่ยงว่า ปีนี้น้ำจะมาเยอะ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศของโลกส่งผลให้มีแนวโน้มพายุพัดเข้าสู่ประเทศไทยจำนวนมาก แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเข้ามาอย่างไร
“จากข้อมูลของ IPCC 2007 ระบุว่า ในอนาคตข้างหน้าในทวีปเอเชียโดยเฉพาะประเทศไทย หน้าแล้งจะแล้งหนัก และหน้าฝนจะมีฝนตกหนัก ฉะนั้นการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่อาจไม่เป็นผล แต่ต้องเป็นการสร้างอ่างย่อยๆแทน นอกจากนี้ข้อมูลจาก JAMSTEC ประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า ปรากฏการณ์ลานิญญ่า จะส่งผลให้ปีนี้ประเทศไทยยังมีฝนตกหนักต่อไปอีก และเมื่อเข้าสู่ปี 2556 จะเริ่มเข้าสู่ปรากฎการณ์เอลนิญโญ่ ส่งผลให้เกิดปัญหาความแห้งแล้ง”
รศ.ดร.เสรี กล่าวต่อว่า สิ่งที่นักลงทุนต้องการคือ พิมพ์เขียว เป็นแผนดำเนินการซึ่งขณะนี้เรายังไม่มี เรามีเพียงกรอบวงเงินเท่านั้น ว่าจะลงทุนปีนี้ 1.2 หมื่นล้าน และในปีหน้าอีก 5 พันล้านรวมกับระยะยาวอีก 3.5 แสนล้าน ซึ่งเงินพวกนี้ได้มาจากการรวบรวมโครงการ 10-20 ก่อนมารวมกันว่ามูลค่าทั้งหมดเป็นเท่าไหร่ แล้ววางกรอบวงเงินไว้ก่อน แต่เงินจะมีหรือไม่ยังไม่รู้
รศ.ดร.เสรี กล่าวด้วยว่า สำหรับแผนจัดการน้ำระยะสั้นของคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อวางระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (กยน.) อาจเห็นว่า ในช่วง2 เดือนนี้เป็นช่วงที่ กยน. เงียบไป และยังไม่มีโครงการออกมา สาเหตุมาจากกรรมการเป็นห่วงว่าหากมีโครงการออกมาแล้วไม่มีการประเมินประสิทธิภาพ ก็ไม่มีประโยชน์ รวมทั้งกังวลเรื่องของความโปร่งใสในการใช้จ่ายด้วย ฉะนั้น จะไม่ยอมให้โครงการออกมาแล้วไม่เป็นประโยชน์
จากนั้น รศ.ดร.เสรี กล่าวถึงแผน ระยะเร่งด่วนของคณะกรรมการ กยน. ว่ามีทั้งหมด 6 แผน อันดับแรกที่ต้องทำคือ การบริหารจัดการเขื่อนหลัก ในส่วนของข้อปฏิบัติในการปล่อยน้ำ เพราะเมื่อทราบว่าน้ำจะมาเยอะ ต้องรีบปล่อยน้ำไม่เช่นกันจะเกิดปัญหาได้
“2.การฟื้นฟูและปรับปรุงประสิทธิภาพสิ่งก่อสร้าง ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีแผนงานออกมา เพราะต้องไปประเมินประสิทธิผลก่อน 3.พัฒนาระบบเตือนภัยและคลังข้อมูล 4.การพัฒนาแผนเผชิญเหตุเฉพาะพื้นที่ ต้องมีการเตรียมแผนสำรองไว้ในแต่ละพื้นที่ 5.การกำหนดพื้นที่รับน้ำนอง และการช่วยเหลือ นั่นคือพื้นที่ที่จะทำเป็นแก้มลิงและฟลัดเวย์ ต้องมีการเจรจากับชาวบ้าน และ 6.การปรับปรุงองค์กรเพื่อการบริหารจัดการน้ำ” รศ.ดร. เสรี กล่าว และว่า ดังนั้นต้องจับตาดูกันว่า ใน 6 แผนนี้จะสามารถทำอะไรได้บ้าง ซึ่งตนเองก็ยังมีความกังวลว่าจะสามารถทำอะไรได้บ้างเช่นกัน
นอกจากนี้ รศ.ดร.เสรีได้นำเสนอผลการจำลองกรณีฟลัดเวย์ว่า หากมีการทำฟลัดเวย์ด้านตะวันออกและตะวันตก จะสามารถลดปริมาณของน้ำไปได้ ด้านละ 1,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งหากน้ำมา 5,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที จะสามารถลดปริมาณที่ไหลลงมาท่วมเหลือ 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
“พื้นที่น้ำท่วมจะลดลง แต่ปัญหาอยู่ที่จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี ลพบุรี พระนครศรีอยุธยา ที่แม้จะมีการสร้างฟลัดเวย์ก็ไม่สามารถทำให้น้ำไม่ท่วมได้ เพราะเป็นทางผ่านของน้ำ เพียงแต่จะมีวิธีจัดการอย่างไร ต้องมีการไปเจรจาให้เป็นพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สำหรับทำแก้มลิง”
ทั้งนี้ รศ.ดร.เสรี ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สึนามิที่ญี่ปุ่นด้วยว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์ รัฐบาลญี่ปุ่นได้ออกมาประกาศรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเกิดจากการสมมุติฐานที่ออกมาผิดพลาด และยอมรับความผิดพลาดว่า การประกาศความสูงของคลื่นนั้นต่ำเกินไป ทำให้ประชาชนมั่นใจ แต่สำหรับประเทศไทยก็ต้องดูกันว่าจะกล้าหรือไม่ที่จะออกมาประกาศสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้
ภาคอุตฯ ชี้กยอ.คลอดแต่วงเงินออกมา ยังไม่พอ
ด้านนายฉัตรชัย กล่าวว่า เมื่อ 2-3 ปีก่อน ทางหอการค้าได้ลุกขึ้นมาทำยุทธศาสตร์ชาติ เนื่องจากเห็นว่าในช่วงหลังนี้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไม่ได้มีการนำมาปฏิบัติ จนมาถึงปัจจุบัน หากพิจารณาดูจะพบว่า แผนต่างๆที่เป็นยุทธศาสตร์เพื่ออนาคตของประเทศไทย คือแผนที่อยู่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8-10 เพราะว่าแผนเหล่านี้ไม่ได้นำไปสู่การปฏิบัติ จึงถือโอกาสนำมายำรวมทีเดียว และใช้ช่วงเวลานี้ในการสร้างอนาคตของประเทศไทย
“ในส่วนของหอการค้าเราคงไม่รอภาครัฐ เพราะแผนที่มีอยู่ เราก็เกรงว่าในเดือนหน้าหากมีการ ปรับเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี ผู้ที่เข้ารับตำแหน่งแทนต้องเข้ามาศึกษาข้อมูลใหม่ ทำให้ขาดความต่อเนื่อง ฉะนั้นสิ่งที่ทางหอการค้าจะทำต่อคือ ให้ทางหน่วยงานวิชาการของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ช่วยตามมอนิเตอร์ ว่า มีการดำเนินการตามแผนที่ประกาศหรือไม่อย่างไร” นายฉัตรชัย กล่าว และ ว่า ขณะนี้นักลงทุนไม่คิดขยายพื้นที่โรงงาน แต่ขยายธุรกิจไปพื้นที่อื่น โดยบางแห่งเริ่มมีการหาซื้อพื้นที่ทางภาคตะวันออกและภาคอีสานบ้างแล้ว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทางภาครัฐตามไม่ทัน
นายฉัตรชัย กล่าวว่า ภาครัฐอาจจะคิดว่าสิ่งที่ คณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ประกาศออกมาเป็น พ.ร.ก.ที่อนุมัติให้สามารถใช้เงิน 3.5 แสนล้านบาท หรือการตั้งกองทุนประกันภัยอีก 5 หมื่นล้านบาท จะช่วยสร้างความมั่นใจได้ แต่จริงๆแล้วเพียงแค่นี้ยังไม่พอ
“ในเรื่องความเชื่อมั่น ถึงเวลาที่ไทยต้องพัฒนาองค์กรและนโยบายในเรื่องการส่งเสริมลงทุน เพราะไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงเลย ฉะนั้น ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเลือก ไม่ใช้ให้เขามาเลือก ซึ่งเราสามารถทำได้ ประเทศคู่แข่งอย่าง เวียดนาม อินโดนีเซีย ยังต้องใช้เวลาอีกนาน ฉะนั้นช่วงนี้เมื่อเรามีสิทธิ์เลือกได้ก็ควรเลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยและคนไทย” นายฉัตรชัย กล่าว และว่า ประเทศไทยไม่ต้องกลัวต่างประเทศ เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความแตกแยกของสังคม การเรียกค่าต๋ง และความไม่ชัดเจนในการบังคับใช้กฎหมาย
มหากาพย์น้ำท่วมเพิ่งจบไปบทแรก
ขณะที่ นางกอบกาญจน์ กล่าวถึงสถานการณ์ของภาคอุตสาหกรรมหลังน้ำลด ว่า มีอยู่ 3 ประเภท คือ 1. เร่งเข้าไปทำความสะอาด และฟื้นฟูซึ่งบางแห่งมีการเริ่มต้นการผลิตแล้ว 2.ทำความสะอาดแล้วหยุดแค่นั้น แต่ไม่มีคนงานเข้ามาทำงาน เนื่องจากประธานขอดูก่อน ยังไม่มีความเชื่อมั่น คนญี่ปุ่นบอกว่ารักประเทศไทยอยากอยู่ประเทศไทย ไม่อยากไปไหน แต่สุดท้ายคำสั่งต้องมาจากบริษัทแม่ แต่หลายแห่งคำสั่งยังไม่มา เพราะมีความลังเล และ 3. คือได้ทำการปิดโรงงานไปแล้ว
“มหากาพย์น้ำท่วมเพิ่งจบไปบทแรกเท่านั้น ต่อจากนี้คือการเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนต่างชาติต้องการคือ ข้อมูลที่ชัดเจนในการเดินหน้าแผนบริหารจัดการน้ำจากภาครัฐ ว่าตกลงแล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เพราะแม้กระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า น้ำท่วมครั้งนี้มีสาเหตุจากอะไร
นางกอบกาญจน์ กล่าวว่า ขณะนี้ทั้ง 7 เขตโรงงานอุตสาหกรรม มีแผนการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำสำหรับโรงงานแล้ว แต่ยังไม่เป็นที่พอใจสำหรับนักลงทุนชาวญี่ปุ่น เนื่องจากนักลงทุนไม่ต้องการเพียงแค่ให้บริษัทน้ำแห้งแต่บ้านพนักงานน้ำไม่ท่วม ฉะนั้นพนักงานต้องรอดไปกับธุรกิจด้วย ทั้งนี้ การที่ต้องการข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อวางแผนในการลงทุนต่อไป ว่าต้องย้ายโรงงานหรือไม่ และหาวิธีการจัดการต่อไปเพื่อให้ธุรกิจดำเนินไปต่อได้
“นักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นเกือบทั้งหมดยังมีความรักและผูกพันกับประเทศไทยอยู่ แม้จะมีการตั้งโรงงานผลิตชั่วคราวในประเทศอื่น แต่ก็เป็นเพียงชั่วคราว และรอความชัดเจน ซึ่งจากความเสียหายขนาดนี้ การ ไปหาที่ตั้งใหม่ทำได้ง่ายกว่ามาก และอาจใช้งบประมาณที่ถูกกว่า แต่นักลงทุนยังอยากอยู่ ด้วยความผูกพันกับคนไทย และคิดว่า ถ้าไม่หนักหนาสาหัส ก็ยังอยากให้โอกาส ฉะนั้นช่วง 1-2 เดือนหลังจากนี้ อยู่ที่เราว่า เราจะคืนความมั่นใจนี้ต่อไปได้หรือไม่ ทั้งนี้ภาครัฐและภาคเอกชนต้องช่วยกันผลักดันและลุกขึ้นมาทำหน้าที่ของเราเองด้วย และหาทางว่าจะสามารถทำอย่างไรได้บ้าง”