“ศรีปทุมโพลล์” เผยปชช. 66.7% เชื่อการแก้รธน. เอื้อประโยชน์นักการเมือง
ศรีปทุมโพลล์ เปิดผลสำรวจความเห็นปชช. พบส่วนใหญ่มองรธน.มีปัญหา เพราะภาคการเมืองสร้างกระแส ระบุไม่ใช่เรื่องเร่วด่วนเท่าน้ำท่วม-คอร์รัปชั่น
วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ศูนย์วิจัยและติดตามนโยบายภาครัฐ (Policy Watch and Research Center) มหาวิทยาลัยศรีปทุม บางเขน กรุงเทพฯ จัดแถลงข่าวศรีปทุมโพลล์ ครั้งที่ 4/2555 เรื่อง “การสำรวจความเห็นต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” จาก 17 จังหวัด ทั่วทุกภูมิภาค ระหว่างวันที่ 2-7 กุมภาพันธ์ 2555 จำนวน 1,700 ตัวอย่าง ณ ห้อง คอนเวนชั่น 1 ชั้น 4 อาคาร 11 โดยมี รศ.สมชัย ศรีสุทธิยากร ผอ.ศูนย์วิจัยและติดตามนโยบายภาครัฐ ดร.ธวิช สุดสาคร ผอ.หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต ภาคค่ำ ร่วมแถลง
ดร.ธวิช กล่าวว่า การสำรวจความคิดเห็นของประชาชนต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ผลการสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 44.4 รู้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหา แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่ามีปัญหาเรื่องอะไร ส่วนประชาชนร้อยละ 21.3 รู้ว่ามีปัญหาและสามารถบอกจุดที่เป็นปัญหาได้ ร้อยละ 17.6 เห็นว่าไม่มีปัญหา และร้อยละ 16.6 ไม่มีความคิดเห็น
“ผลการสำรวจในประเด็นที่ว่า หากแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วใครจะเป็นผู้ได้ประโยชน์นั้น ประชาชนร้อยละ 44.8 เห็นว่าเป็นประโยชน์ของนักการเมือง ส่วนร้อยละ 25.3 เห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ประชาชน ส่วนประชาชน ร้อยละ 21.9 เห็นว่าเป็นประโยชน์กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และร้อยละ 7.9 เห็นว่า เป็นประโยชน์แก่บุคคลอื่นๆ เช่น ข้าราชการ นักธุรกิจ ฯลฯ”
ดร.ธวิช กล่าวถึงผลการสำรวจความเห็นประชาชน ต่อช่วง ระยะเวลาที่เหมาะสมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น ประชาชนร้อยละ 36.6 เห็นว่า ยังไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องดำเนินการ เพราะมีความจำเป็นอื่นๆ ที่ควรเร่งดำเนินการมากกว่า เช่น ปัญหาน้ำท่วม และปัญหาคอร์รัปชั่น
ทั้งนี้ ร้อยละ 29.3 เห็นว่าควรรีบดำเนินการทันที ส่วนร้อยละ 23.2 เห็นว่าอีกประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี ค่อยดำเนินการ และร้อยละ 10.9 เห็นว่า ช่วงปีสุดท้ายของรัฐบาลค่อยดำเนินการ
“ในส่วนรูปแบบการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เหมาะสม ซึ่งเป็นประเด็นถกเถียงกันมาก โดยเฉพาะการจัดตั้งคณะร่าง ส.ส.ร.ที่เป็นประเด็นสำคัญ หากมีความโน้มเอียงไปทางใดทางหนึ่งหรือทิศทางที่ไม่เหมาะสม ก็อาจไม่สะท้อนถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ซึ่งประชาชนร้อยละ 31.4 เห็นว่าควรเลือก ส.ส.ร.จากจังหวัดต่างๆ ตามสัดส่วนของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง รวมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐบาลแต่งตั้ง”
ทั้งนี้ ร้อยละ 30.6 เห็นว่าควรเลือก ส.ส.ร.จากจังหวัดต่างๆ จังหวัดละ 1 คน รวมกับผู้ทรงคุณวุฒิที่รัฐบาลแต่ตั้ง ส่วนร้อยละ 19.9 เห็นว่า ควรเสนอร่างแก้ไขของรัฐบาล หรือจาก ส.ส. ต่อสภา และร้อยละ 17.9 เห็นว่า รัฐบาลควรแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิ และคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอต่อสภาเอง
ดร.ธวิช กล่าวถึงผลสำรวจในประเด็นความจำเป็นในการทำประชามติ ประชาชนร้อยละ 39.5 เห็นว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำ ส่วนร้อยละ 31.8 เห็นว่าควรทำหลังแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นความเห็นชอบของคนทั้งประเทศ และร้อยละ 18.6 เห็นว่าควรทำก่อนแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าสมควรแก้หรือไม่ และร้อยละ 9.9 เห็นว่า ควรทำทั้งก่อนและหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในส่วนประชาชนร้อยละ 3.65 เห็นว่า เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นเรื่องที่สมควรแก้ไขมากที่สุด รองลงมาเป็นเรื่องที่มาของ ส.ว. ร้อยละ 3.51 ร้อยละ 3.49 เป็นเรื่องที่มาของ ส.ส. ร้อยละ 3.33 เป็นเรื่องที่มาขององค์กรอิสระ
ขณะที่รศ.สมชัย กล่าวว่า ทั้ง 5 ประเด็นในการสำรวจ มีนัยยะสำคัญ คือ 1.เหตุที่ประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 44.4 ที่รู้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีปัญหา แต่ไม่ทราบรายละเอียดว่ามีปัญหาเรื่องอะไรนั้น เนื่องจากกระแสข่าวเกิดจากภาคการเมืองที่พยายามสื่อสารให้ประชาชนรู้สึก และเห็นว่ารัฐธรรมนูญมีปัญหา แต่ไม่ทราบประเด็นปัญหา
“2.สำหรับประเด็นผู้ได้รับประโยชน์จากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประชาชนร้อยละ 44.8 เห็นว่าเป็นประโยชน์ของนักการเมือง และเมื่อรวมกับประชาชน ร้อยละ 21.9 ที่เห็นว่าเป็นประโยชน์กับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตรแล้ว พบว่าประชาชนกว่าร้อยละ 66.7 เห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ทำเพื่อนักการเมือง ไม่ใช่เพื่อประชาชน 3.ช่วงระยะเวลาที่เหมาะสมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ประชาชนส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 70.7 เห็นว่ายังไม่ควรเร่งแก้ไขในขณะนี้”
รศ.สมชัย กล่าวต่อว่า ประชาชนให้ความสำคัญกับการจัดสัดส่วนของการจัดตั้งส.ส.ร. และไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไม่ควรแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิและคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญเสนอต่อสภา เอง ทั้งนี้ หากจะจัดทำประชามติ ควรต้องมีการสื่อสารกับประชาชนให้มีความรู้ความเข้าใจที่ชัดเจนกว่านี้ เนื่องจากการจัดทำประชามติใช้งบประมาณค่อนข้างสูง“
สำหรับประเด็นที่สมควรแก้ไข การที่ประชาชนร้อยละ 3.65 เห็นว่า เรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเป็นเรื่องที่สมควรแก้ไขมากที่สุดนั้น เนื่องจากประชาชนเห็นว่าสิทธิเสรีภาพยังเป็นเพียงในกระดาษ ไม่เป็นรูปธรรมในสายตาประชาชน สิทธิต่างๆ ยังถูกจำกัดอยู่จำนวนมาก” รศ.สมชัย กล่าว และว่า สรุปได้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ เห็นว่ายังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญในขณะนี้ และรู้สึกว่าการแก้ไขเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์ต่อฝ่ายการเมืองมากกว่า ประชาชน ทั้งนี้ หากจะแก้ไขประชาชนก็รู้ว่าประเด็นใดที่ควร หรือไม่ควรแก้