สอบฝ่ายนโยบายยันปฏิบัติ! ป.ป.ช. ปัดตัดชื่อ‘อภิสิทธิ์’คดีโรงพัก-สรุปข้อมูลเสร็จแล้ว

เขียนวันที่

วันพฤหัสบดี ที่ 25 ตุลาคม 2561 เวลา 14:00 น.

เขียนโดย

isranews

หมวดหมู่

ข่าว | Isranews | Investigative | ข่าวทั่วไปศูนย์ข่าวสืบสวน

Tags

คดีโรงพักทดแทน | ป.ป.ช. | สุเทพ เทือกสุบรรณ | อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

คณะทำงานฯ ป.ป.ช. สรุปข้อเท็จจริงคดีโรงพักทดแทน 396 หลัง 5.8 พันล้านเสร็จแล้ว เหลือชงองค์คณะไต่สวนพิจารณา ยันยังไม่ตัดชื่อ ‘อภิสิทธิ์’ จากผู้ถูกกล่าวหา ลั่นไล่สอบตั้งแต่ฝ่ายนโยบายยันฝ่ายปฏิบัติ ไม่ตัดตอน

PIC rongpak 25 10 61 1

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานแล้วว่า คดีโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง ที่มีบริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด เป็นคู่สัญญา วงเงิน 5,848 ล้านบาท กำลังอยู่ระหว่างการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2561 ที่ผ่านมา มีการตั้งคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง (มีคณะกรรมการ ป.ป.ช. 9 รายเป็นองค์คณะไต่สวน) พบว่าผู้ถูกกล่าวหาล่าสุด มีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 2 ราย ข้าราชการตำรวจ และอดีตข้าราชการตำรวจ 12 ราย (มียศนายพล 6 ราย) รวมถึงเอกชนในนามนิติบุคคล และบุคคล 2 ราย (อ่านประกอบ : เปิดคำสั่งตั้ง กก.ไต่สวนคดีโรงพัก 396 แห่ง ป.ป.ช. ผู้ถูกกล่าวหา 16 ราย-นายพล ตร. 6)

เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2561 สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ได้รับการยืนยันจากแหล่งข่าวระดับสูงในสำนักงาน ป.ป.ช. และเป็นหนึ่งในคณะทำงาน ไต่สวนข้อเท็จจริงให้กับองค์คณะไต่สวน ระบุว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทั้ง 2 ที่ยังถูกกล่าวหาอยู่ในไต่สวนข้อเท็จจริง ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี

ส่วนกรณีที่ก่อนหน้านี้ นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตีตกข้อกล่าวหาของนายอภิสิทธิ์ในคดีนี้ไปแล้วนั้น แหล่งข่าวรายนี้ ระบุว่า นายวรวิทย์ อาจตอบเป็นเชิงหลักการกว้าง ๆ ในภาพรวมของพยานหลักฐานมากกว่า อย่างไรก็ดีในขั้นตอนการไต่สวนขององค์คณะไต่สวน และคณะทำงานคดีนี้ ได้มุ่งประเด็นตั้งแต่ฝ่ายนโยบาย ไล่ลงมาจนถึงฝ่ายปฏิบัติ สรุปเป็นภาพรวมทั้งหมด ไม่ได้ตรวจสอบเฉพาะฝ่ายปฏิบัติแต่อย่างใด

แหล่งข่าวรายนี้ ระบุอีกว่า ปัจจุบันคณะทำงานได้รวบรวมพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงคดีนี้เสร็จสิ้นครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว โดยรวมคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาและเอกสารของนายสุเทพเป็นครั้งที่ 3 ด้วย ขั้นตอนต่อจากนี้เหลือแค่เสนอที่ประชุมองค์คณะไต่สวนพิจารณาว่า ข้อมูลครบถ้วนหรือยัง ถ้าครบถ้วนแล้ว จะต้องเสนอที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณามีมติอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไป

อนึ่ง ก่อนหน้านี้ นายอภิสิทธิ์ เคยให้สัมภาษณ์ชี้แจงกรณีนี้ว่า โครงการก่อสร้างดังกล่าวอนุมัติโดยคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลตน ดังนั้นคณะรัฐมนตรีต้องร่วมรับผิดชอบ แต่สมัยนั้นอนุมัติเฉพาะหลักการว่าจะทำอะไรบ้าง แต่ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ คือ เปลี่ยนแปลงวิธีประมูลที่จากเดิมประมูลเป็นรายภาค กลายมาเป็นประมูลรวมครั้งเดียว ซึ่งวิธีการประมูลดังกล่าวไมได้เสนอมายังตนและคณะรัฐมนตรี แต่เสนอตรงไปที่นายสุเทพ ซึ่งขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และเท่าที่ทราบนายสุเทพอนุมัติตามที่ สตช.สรุปขึ้นมา ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับตนในเรื่องนี้คือ มีคนทำหนังสือร้องเรียนมาว่า ตนไม่ทำอะไร แต่จากการตรวจสอบพบว่า สำนักงานตนได้ส่งเรื่องให้ สตช.พิจารณาข้อร้องเรียนว่าเป็นอย่างไรไปแล้ว

ส่วนนายสุเทพ เข้าชี้แจงคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นหนที่ 3 ระบุว่า กรณีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสัญญา และบริษัทที่ชนะการประมูลไม่สามารถสร้างสถานีตำรวจทั้ง 396 แห่งได้ทันตามกำหนดเวลานั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำสัญญา หรือการอนุมัติเปลี่ยนแปลงวิธีการประมูล เพราะการทำสัญญาว่าจ้างดำเนินการอย่างถูกต้องตามระเบียบงบประมาณแผ่นดินของสำนักนายกรัฐมนตรีทุกขั้นตอน แต่เรื่องการก่อสร้างล่าช้าเสร็จไม่ทันกำหนด เป็นเรื่องของผู้ควบคุมงานก่อสร้าง ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้

เมื่อถามว่า มีข้อสงสัยเรื่องการเปลี่ยนวิธีประมูลแบบรายภาคมาเป็นแบบรวมศูนย์ นายสุเทพ กล่าวว่า ชี้แจงไปหลายรอบแล้วว่า ตอนอนุมัติโครงการครั้งแรก พิจารณาตามที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ขณะนั้น เสนอมา เห็นว่ามีเหตุผลเรื่องการแยกสัญญาออกเป็น 9 ภาค จึงอนุมัติให้ดำเนินการ แต่ต่อมาสมัย พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ เป็น ผบ.ตร. ได้เสนอแก้ไขสัญญาว่าจ้างใหม่เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายงบประมาณปี 2553 ที่ออกมาจากหลังการอนุมัติโครงการครั้งแรกแล้ว โดยระบุว่า หากเป็นโครงการเดียวกันไม่สามารถแยกเป็นหลายสัญญาได้ จึงเป็นที่มาของการแก้ไขสัญญาใหม่ให้ถูกต้องตามระเบียบงบประมาณปี 2553 ทุกโครงการก็ทำตามระเบียบดังกล่าว