รายงาน ก.คลังชี้ไทยติดสารพัดกับดักเศรษฐกิจ ปัจจัยท้าทายสูง-จีดีพีปี’62 อาจไม่ถึง 4%
เปิดรายงานสำนักงานเศรษฐกิจการเงินฯ ก.คลัง พบไทยติดสารพัดกับดัก ทั้งเติบโตไม่สมดุล-รายได้ปานกลาง-ปัญหาความเหลื่อมล้ำ สำหรับเศรษฐกิจไทยช่วง 10-20 ปีข้างหน้า มีปัจจัยท้าทายจำนวนมาก ทั้งสงครามการค้าระหว่างประเทศ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง เศรษฐกิจโลกผันผวน GDP ปี’62 อาจได้แค่ 4% หรือต่ำกว่า
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง จัดทำรายงานแบบอินโฟกราฟฟิก เรื่อง ทิศทางเศรษฐกิจภาคตะวันออก จัดทำโดยนายพงศ์นคร โภชากรณ์ ผู้อำนวยการส่วนการวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค กระทรวงการคลัง โดยสรุปรายละเอียดเกี่ยวกับการติดกับดักทางเศรษฐกิจของประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
รายงานดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่า เศรษฐกิจไทยยังคงติดกับดักรอบด้าน ที่บั่นทอนความเจริญเติบโต ไม่ว่าจะเป็น กับดักรายได้ปานกลาง โดยในอดีตผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไทยขยายตัวปีละ 5-6% ขณะที่ปัจจุบันไทยขยายตัวได้เพียง 2-3% เนื่องจากเรื่องเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมัน GDP ส่งออก การบริโภค การลงทุน ประชากรผู้สูงอายุ และหนี้ครัวเรือน ดังนั้นในอนาคตถ้าไม่ทำอะไรเลยกว่าจะเป็นประเทศที่มีรายได้สูงต้องใช้เวลา 15-20 ปี เพราะ GDP ขยายตัวปีละ 3-4%
นอกจากนี้ยังติดกับดักการเติบโตที่ไม่สมดุลทั้งมิติทางเศรษฐกิจ และมิติพื้นที่ โดยมิติทางเศรษฐกิจนั้น พบว่า GDP ของไทยสัดส่วนของส่งออก สวนทางกับสัดส่วนการลงทุน คือ ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมาถึงข้อมูลเมื่อปี 2559 พบว่า การส่งออกไทยจากเดิมมี 40% ปัจจุบันสูงถึง 75% แต่การลงทุนไทยจากเดิมสูง 50% ปัจจุบันเหลือเพียง 25% เท่านั้น ส่วนมิติพื้นที่พบว่ามี 10 จังหวัดที่มีสัดส่วนใน GDP เกือบ 70% ดังนั้นวิธีการแก้ไขปัญหาคือต้องเพิ่มการลงทุน และให้กระจายไปทั่วประเทศ
ประเด็นปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำ พบว่า 30 ปีที่ผ่านมา จำนวนคนจนลดลง แต่ความเหลื่อมล้ำยังมีอยู่มาก แม้ว่าในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ความยากจนในภาพรวมของไทยจะดีขึ้นมาก โดยเมื่อปี 2531 สัดส่วนความยากจนอยู่ที่ 65.17% เหลือเพียง 8.6% ในปี 2559 หรือคิดเป็นจำนวนประมาณ 5.81 ล้านคน อย่างไรก็ดีรายงานชิ้นดังกล่าว ระบุว่า แม้จำนวนคนจนลดลงมาก แต่ยังจนอยู่มากในจังหวัดเดิม ๆ คนรวยสุดและจนสุดมีรายได้ต่างกัน 35 เท่า คนมีบัญชีเกิน 10 ล้านบาท มีเพียง 1% อีก 99% เป็นคนจน คนรวย 20% แรก มีการครอบครองที่ดินถึง 80% ดังนั้นโจทย์คือ การบริหารจัดการสวัสดิการสังคมให้คนกลุ่มล่างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ
รายงานชิ้นดังกล่าวยังมีวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจไทยหลังการเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค. 2562 ด้วยว่าจะมีทิศทางอย่างไร โดยมีการระบุรายละเอียดถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจของแต่ละพรรค เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคไทยรักษาชาติ พรรคอนาคตใหม่ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา เป็นต้น
โดยความท้าทายของเศรษฐกิจไทยในระยะ 10-20 ปี พบว่า ในระยะยาวเศรษฐกิจไทยยังมีความท้าทายทั้งภายในและภายนอกรออยู่มากมาย การแก้ปัญหาไม่ง่าย เพราะมีความซับซ้อน ทั้งเรื่องการติดกับดักรายได้ปานกลาง ขีดความสามารถในการแข่งขัน เติบโตไม่สมดุล ยากจนเหลื่อมล้ำเรื้อรัง รับมือสังคมผู้สูงอายุ ความท้าทายด้านการคลัง เศรษฐกิจโลกผันผวน
สำหรับเป้าหมายสูงสุด 4 ประการของเศรษฐกิจในปี 2562 รายงานชิ้นนี้ ระบุว่า ต้องทำให้เศรษฐกิจพร้อมรับมือกับความอ่อนแอของเศรษฐกิจโลก ทำให้เติบโตเต็มศักยภาพและมีเสถียรภาพ ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันเพิ่มขึ้น ทำให้คนจนมีรายได้มากขึ้น และพ้นความยากจน
สำหรับ GDP ปี 2561 ที่รัฐบาลต้องเป้าอยากให้ถึง 4.5% นั้น รายงานชิ้นนี้ระบุว่า อาจได้แค่ 4% เนื่องจากผลกระทบของการส่งออก และท่องเที่ยวจะทำให้เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังชะลอจากครึ่งปีแรก แต่ทั้งปีก็ยังเป็นระดับการเติบโตเต็มศักยภาพของเศรษฐกิจ โดย GDP ประจำแต่ละไตรมาสของไทยตกลงอย่างต่อเนื่อง ไตรมาแรก 4.9% ไตรมาส 2 เหลือ 4.6% และไตรมาส 3 ได้เพียง 3.3%
ส่วนปัจจัยท้าทายนโยบายต่าง ๆ ของรัฐบาลจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ไหน ขึ้นอยู่ว่า ถ้าปัจจัยบวก คือ การเร่งลงทุนในระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) มาตรการกระตุ้นการบริโภค เดินหน้าสวัสดิการแห่งรัฐ เงินเฟ้อต่ำ ว่างงานต่ำ เสถียรภาพเศรษฐกิจดี ส่วนปัจจัยลบ คือ เกิดสงครามการค้า เศรษฐกิจยุโรป นักท่องเที่ยวจีนลดลง ความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล และความขัดแย้งทางการเมือง
# กดคลิก ติดตาม ส่งแชร์ข่าวอิศรา ได้ที่นี่ https://www.facebook.com/isranewsfanpage/
หมายเหตุ : ภาพประกอบจาก รายงานสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง