- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- 'ทักษิณ'ทวิต-คสช.ใช้ก.ม.กับ'โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม'
'ทักษิณ'ทวิต-คสช.ใช้ก.ม.กับ'โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม'
'ทักษิณ'ทวิตคสช.เร่งคืนความสุขให้คนไทย คสช.ใช้ก.ม.จัดการกับ'โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม' โอนคดีที่เกี่ยวข้องกับม.112 ขึ้นตรงศาลทหาร
เมื่อเวลา 16.14 น. 25 พ.ค.2557 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โพสข้อความผ่านทวิตเตอร์ " Thaksin Shinawatra @ThaksinLive" ระบุตอนหนึ่งว่า "ขอให้ คสช.ได้คืนความสุขให้คนไทย ให้คนไทยได้หันหน้าเข้าหากัน ยิ้มให้กันได้เหมือนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพื่อให้คนไทยได้มีความหวังกับอนาคตตนเองและอนาคตของประเทศไทยด้วยการ ให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย มองทุกฝ่ายไม่ว่าจะเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ว่าเป็นคนไทยเหมือนกันเกิดในแผ่นดินไทยด้วยกัน ขอให้ปฎิบัติต่อทุกฝ่าย โดยหลักสากลที่ยึดหลักนิติธรรม เคารพในสิทธิมนุษยชน ใช้กระบวนการยุติธรรมอย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้ไทยยังเป็นที่เคารพในสายตาอารยประเทศต่อไปครับ"
คสช.ลั่นใช้วิธีทางก.ม.จัดการ'โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม'
เมื่อเวลา 14.30 น. ที่อาคารกำลังเอก ภายในสโมสรทหารบกถนนวิภาวดีรังสิต พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีที่นายโรเบิร์ต อัมเตอร์ดัม ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์สื่อออสเตรเลีย ระบุพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีแผนตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นในต่างประเทศ โดยมีนานาชาติเสนอตัวสนับสนุนว่า
"สำหรับการดำเนินการกับนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม จะใช้วิธีการทางด้านกฎหมาย เพราะเนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์เป็นส่วนหนึ่งของความไม่สงบ และเจ้าตัวมีพฤติกรรมแบบนี้มานานแล้ว แต่เนื่องจากนายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม เคลื่อนไหวอยู่นอกประเทศ จึงอาจจะต้องประสานงานกับกระทรวงการต่างประเทศต่อไป เบื้องต้นในส่วนของคนที่เคลื่อนไหวอยู่ต่างประเทศ เราจะใช้วิธีตัดช่องทางสื่อสารให้ได้มากที่สุด โดยขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่" พ.อ.วินธัย กล่าว
อภิสิทธิ์โพสต์ขออภัยที่ปกป้องปชต.ไม่ได้
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า"ขอบคุณทุกท่านที่ห่วงใย ผมขออภัยที่ไม่สามารถผลักดันการปฏิรูปภายใต้รัฐธรรมนูญ และปกป้องประชาธิปไตยไว้ได้"เเละโพสต์อีก1ข้อความว่า "ขอให้กำลังใจพี่น้องสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ผมขอแสดงความเสียใจกับผู้สูญเสียและผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ที่ จ.ปัตตานี และขอประณามผู้ฉวยโอกาสก่อความรุนแรงในครั้งนี้"
แกนนำเครือข่ายคนเสื้อแดงใน3จังหวัดภาคใต้ทยอยเข้ารายงานตัว
ที่กองบัญชาการมณฑลทหารบกที่42 ค่ายเสนาณรงค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา แกนนำเครือข่ายคนเสื้อแดงใน3 จังหวัดภาคใต้คือ สงขลา สตูล และพัทลุง ได้ทยอยเข้ารายงานตัวกับ พล.ต.เลอชัย มาลีเลิศ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 42 ตามคำสั่งของมณฑลทหารบกที่42 ที่ให้บุคคลมารายงานตัว จำนวน13 คนโดยเร็วที่สุด และเป็นแกนนำคนเสื้อแดงทั้งหมด หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช.ได้ประกาศเข้าควบคุมอำนาจในการปกครองประเทศ ซึ่งขณะนี้มีแกนนำเสื้อแดงเข้ารายงานตัวแล้ว2 คนคือ นายสุบรรณ สุวรรณรัตน์ และนายจำแลง มงคลนิสภกุล ส่วนที่เหลือได้ติดต่อขอเข้ารายงานตัวกับทหารแล้วเช่นกัน
สำหรับแกนนำเสื้อแดงในจ.สงขลา สตูล และพัทลุง ที่มีคำสั่งให้เข้ารายงานตัวประกอบด้วย นายสมพงษ์ สระกวี นายบุญญา หลีเหล็ด นายไสว ณ พัทลุง นายชูศักดิ์ เดชดี นายสุวรรณ สุวรรณรัตน์ นางนิษิฎภัทร วิไลรัตน์ พ.ต.ท.ศักดิ์ กลิ่นเขียว นายจิรายุส เนาวเกตุ นายชินกฤช อุตะปะละ นายกู้ชาติ ชายเกตุ นายจำแลง มงคลนิสภกุล นายทวีเกียรติ รองสวัสดิ์ และนายพงพนธ์ จิตภักดี
ครู4จังหวัดอีสานบนมอบดอกไม้ให้กำลังใจทหาร
ที่มณฑลทหารบกที่ 24 อุดรธานี ค่ายประจักษ์ศิลปาคม อ.เมือง จ.อุดรธานี ได้มีผู้บริหารและองค์ครูจากสำนักงานเขตพื้นทีการศึกษาประถมศึกษา จาก 4 จังหวัดภาคอีสานตอนบน ประกอบด้วย จ.อุดรธานี หนองคาย หนองบัวลำภู และบึงกาฬ เดินทางมามอบดอกไม้และให้กำลังใจในการปฏิบัติหน้าที่แก่ทหาร จำนวนกว่า 100 คน นำโดย ดร.ธรีพงษ์ สารเสน ผู้อำนวยการสำนักการพื้นที่การประถมศึกษาหนองคายเขต 2
พล.ต.สิทธิ จันทร์สมบูรณ์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 24 ค่ายประจักษ์ศิลปาคม ได้รับมอบดอกไม้จากคณะครูที่มาให้ลำลังใจแก่ทหารทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ จากนั้นก็ได้มีการร่วมประชุมสอบถามความคิดเห็นขององค์กรครูว่ามีความเห็นอย่างไรในช่วงสถานการบ้านเมืองเป็นเช่นนี้ เพื่อนำไปประกอบกับการดูแลบ้านเมืองต่อไปในอนาคต โดยทั้งนี้เป็นการช่วยเหลือกันทุกฝ่ายทุกหน่วยงานในการป้องกันและปราบปรามสิ่งที่อาจก่อความวุ่นวายทางการเมืองได้
ชาวบ้านนำน้ำดื่มและอาหารมอบทหารพร้อมให้กำลังใจ
กลุ่มชาวบ้านเดินทางมาพบปะกำลังพลทหารที่ตั้งบังเบอร์อยู่รอบรั่วค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ริมถนนนารายณ์มหาราช ตำบลทะเลชุบศร อำเภอเมืองจังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นที่ตั้งของกองบัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ และศูนย์สงครามพิเศษ ค่ายสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้นำอาหาร ขนม และเครื่องดื่มชูกำลังพร้อมน้ำดื่มมอบเป็นขวัญและกำลังใจให้กับทหารในการปฏิบัติภารกิจดูแลความสงบเรียบร้อยตามจุดต่างๆ
สำหรับบรรยากาศในจังหวัดลพบุรีก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ประชาชนยังคงใช้ชีวิตกันตามปกติ ซึ่งหลังจาก 22.00 น. บรรดาร้านค้าแหล่งสถานบันเทิงก็ปฏิบัติตามกฎ โดยปิดให้บริการตลอดจนประชาชนก็ไม่ออกนอกบ้านตามที่ได้ประกาศไว้
พัทยาพบระเบิดป่วนเมือง ขณะมีประกาศเคอร์ฟิว
พ.ต.อ.ธรรมนูญ มั่นคง ผกก.สภ.บางละมุง จ.ชลบุรี ร.ต.ท.นพดล อินทศร รอง สวป. สภ.บางละมุง พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ ร่วมตรวจสอบวัตถุต้องสงสัยคล้ายวัตถุระเบิด บริเวณที่โล่งภายในซอยทุ่งกราดตัดหนอง-สะเดา ม.8 ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
ด้าน พ.ต.อ.ธรรมนูญ เปิดเผยว่า ลูกระเบิดปลอมที่พบน่าจะเป็นของวัยรุ่นที่พกไว้หลอกหรือข่มขู่คู่อริ แต่พอในช่วงนี้มีประกาศเคอร์ฟิว มีกำลังเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเต็มพื้นที่ ก็เลยเอามาโยนทิ้งที่ดังกล่าว
โอนคดีที่เกี่ยวข้องกับม.112ขึ้นตรงศาลทหาร
เมื่อเวลา 16.25 น. คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ออกประกาศฉบับที่ 37/2557 เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร โดยมีสาระสำคัญ คือ ให้บรรดาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่ ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่มาตรา 107 - 112 และ ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 -118 ยกเว้นความผิด ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศใช้ พ.ร.บ. ความมั่นคง และ พ.ร.บ. ฉุกเฉิน และความผิดตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ให้การกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตราชอาณาจักร และในระหว่างที่ประกาศนี้ใช้บังคับอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
ประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
ฉบับที่ 37/2557
เรื่อง ความผิดที่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร
ตามที่ได้มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ฉบับที่ 11 /2557 ลงวันที่ 22 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557 ให้ศาลทั้งหลายคงมีอำนาจดำเนินการพิจารณา และพิพากษาอรรถคดีตามบทกฎหมาย และประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาตินั้น เพื่อให้การรักษาความสงบ และการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเป็นไปด้วยความเรียบร้อย คณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงประกาศให้บรรดาคดีความผิดตามที่กำหนดไว้ดังต่อไปนี้ ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตราชอาณาจักร และในระหว่างที่ประกาศนี้ใช้บังคับอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร
1.ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
(1) ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่มาตรา 107 - 112
(2) ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ภายในราชอาณาจักร ตั้งแต่มาตรา 113 -118 ยกเว้นความผิด ซึ่งการกระทำผิดเกิดขึ้นในเขตพื้นที่ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พุทธศักราช 2551 หรือ พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พุทธศักราช 2548
2.ความผิดตามประกาศ หรือคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ทั้งนี้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง
ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม พุทธศักราช 2557
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
สำหรับประมวลกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับประกาศ คสช. ฉบับดังกล่าว ได้แก่
หมวด 1 ความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
มาตรา 107 ผู้ใดปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษ ประหารชีวิต
ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์พระ มหากษัตริย์หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ กระทำ การใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 108 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระมหากษัตริย์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์ ผู้ กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต
ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ หรือรู้ว่ามีผู้จะกระทำการประทุษร้าย ต่อพระองค์หรือเสรีภาพของพระมหากษัตริย์ กระทำการใดอันเป็น การช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี
มาตรา 109 ผู้ใดปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือฆ่า ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษประหารชีวิต
ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อปลงพระชนม์ พระราชินีหรือรัชทายาท หรือเพื่อฆ่าผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะปลงพระชนม์พระราชินีหรือรัชทายาท หรือจะฆ่าผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สิบสองปีถึงยี่สิบปี
มาตรา 110 ผู้ใดกระทำการประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพ ของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้ สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือ จำคุกตั้งแต่สิบหกปีถึงยี่สิบปี
ผู้ใดพยายามกระทำการเช่นว่านั้น ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
ถ้าการกระทำนั้นมีลักษณะอันน่าจะเป็นอันตรายแก่พระชนม์หรือ ชีวิต ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
ผู้ใดกระทำการใดอันเป็นการตระเตรียมเพื่อประทุษร้ายต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือต่อร่างกายหรือ เสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ หรือรู้ว่ามีผู้จะประทุษร้าย ต่อพระองค์ หรือเสรีภาพของพระราชินีหรือรัชทายาท หรือ ประทุษร้ายต่อร่างกายหรือเสรีภาพของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ กระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ สิบสองปีถึงยี่สิบปี
มาตรา 111 ผู้ใดเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำความผิดตาม มาตรา 107 ถึง มาตรา 110 ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับตัวการในความผิดนั้น
มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จ ราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
หมวด 2 ความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร
มาตรา 113 ผู้ใดใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ
(1) ล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ
(2) ล้มล้างอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร หรืออำนาจตุลาการแห่งรัฐธรรมนูญหรือให้ใช้อำนาจดังกล่าวแล้วไม่ได้ หรือ
(3) แบ่งแยกราชอาณาจักรหรือยึดอำนาจปกครองในส่วนหนึ่งส่วนใดแห่งราชอาณาจักร
ผู้นั้นกระทำความผิดฐานเป็นกบฏ ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต
มาตรา 114 ผู้ใดสะสมกำลังพลหรืออาวุธ ตระเตรียมการอื่นใดหรือสมคบกัน เพื่อเป็นกบฏ หรือกระทำความผิดใด ๆ อันเป็นส่วนของ แผนการ เพื่อเป็นกบฏ หรือยุยงราษฎรให้เป็นกบฎหรือรู้ว่ามีผู้จะเป็น กบฎแล้วกระทำการใดอันเป็นการช่วยปกปิดไว้ ต้องระวางโทษจำคุก ตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
มาตรา 115 ผู้ใดยุยงทหารหรือตำรวจให้หนีราชการ ให้ละเลย ไม่กระทำการตามหน้าที่ หรือให้ก่อการกำเริบ ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินห้าปี
ถ้าความผิดนั้นได้กระทำลงโดยมุ่งหมายจะบ่อนให้วินัยและ สมรรถภาพของกรมกองทหารหรือตำรวจเสื่อมทรามลง ผู้กระทำ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบปี
มาตรา 116 ผู้ใดกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใดอันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต
(1) เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้าย
(2) เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือ
(3) เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี
มาตรา 117 ผู้ใดยุยงหรือจัดให้เกิดการร่วมกันหยุดงาน การร่วม กันปิดงานงดจ้าง หรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจ กับบุคคลใด ๆ เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดิน เพื่อ บังคับรัฐบาลหรือเพื่อข่มขู่ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดทราบความมุ่งหมายดังกล่าวและเข้ามีส่วนหรือเข้าช่วยในการ ร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิดงานงดจ้างหรือการร่วมกันไม่ยอมค้า ขายหรือติดต่อทางธุรกิจกับบุคคลใด ๆ นั้น ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ผู้ใดทราบความมุ่งหมายดังกล่าว และใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญ ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือทำให้หวาดกลัวด้วยประการใด ๆ เพื่อ ให้บุคคลเข้ามีส่วนหรือเข้าช่วยในการร่วมกันหยุดงาน การร่วมกันปิด งานงดจ้างหรือการร่วมกันไม่ยอมค้าขายหรือติดต่อทางธุรกิจกับ บุคคลใด ๆ นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 118 ผู้ใดกระทำการใด ๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอัน มีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษ จำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ