- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- ศาลฎีกายกคำร้องรื้อคดี'ครูจอมทรัพย์'ชี้พยานไม่น่าเชื่อ
ศาลฎีกายกคำร้องรื้อคดี'ครูจอมทรัพย์'ชี้พยานไม่น่าเชื่อ
ศาลฎีกา ยกคำร้องรื้อคดี "ครูจอมทรัพย์" ชี้ รับฟังไม่ได้ - พยานหลักฐานที่ไม่แตกต่างจากพยานหลักฐานเดิมที่มีอยู่ ด้าน โฆษกศาลฯ แจงจบคดี หลังศาลนครพนม ยกคำร้อง ทำได้ครั้งเดียว-ไม่มีสิทธิ์ขอรับเงินทดแทนเยียวยา
พล.ต.ต.สุวิชาญ ญาณกิตติกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า ในวันนี้ตนได้เดินทางไปร่วมฟังคำพิพากษา คดีของนางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อายุ 54 ปี อดีตข้าราชการครูใน จ.สกลนคร ผู้ที่เคยต้องโทษจำคุก 3 ปี 2 เดือน ในข้อหาขับรถประมาทชนคนตาย
เบื้องต้น ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษาเป็นเวลาประมาณ 2 ชั่วโมง โดยศาลตัดสินยกคำร้องรื้อคดีครูจอมทรัพย์ เนื่องจากพบว่าพยานหลักฐานทั้งหมดรับฟังไม่ได้ รวมถึงยังเป็นพยานหลักฐานที่ไม่แตกต่างจากพยานหลักฐานเดิมที่มีอยู่ จึงทำให้ศาลลงความเห็นยกคำร้องในคดีดังกล่าว
ทั้งนี้ คดีดังกล่าว นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร ถูกกล่าวหาขับรถชนคนตายเมื่อปี 2548 ต่อสู้คดีมาถึงศาลฎีกา เมื่อปี 2556 ถูกศาลสั่งจำคุก 3 ปี 2 เดือน แต่ได้รับการอภัยโทษ พ้นโทษออกมาเมื่อปี 2558 จำคุกจริง 1 ปี 6 เดือน จึงเข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อกระทรวงยุติธรรมให้รื้อฟื้นคดี โดยศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้น คือ ศาลจังหวัดนครพนม พิจารณารื้อคดีขึ้นมาใหม่ และ นางจอมทรัพย์ หรือ ครูอ๋อย เคยให้สัมภาษณ์ก่อนวันตัดสินคดี ว่า ยังเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม หากผลตัดสินมาอย่างไรก็ขอน้อมรับคำตัดสิน และขอก้มหน้าทำงานเพื่อรับใช้สังคม และเดินเรื่องขอกลับเข้ารับราชการครูในบั้นปลายของชีวิต ในอาชีพที่ตนเองรัก
โฆษกศาลฯ แจงจบคดี "ครูจอมทรัพย์" หลังศาลนครพนมยกคำร้องขอรื้อฟื้นคดี
นายสุริยัณห์ หงษ์วิไล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ศาลจังหวัดนครพนมได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา ที่นางจอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครู ยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีใหม่ ซึ่งศาลฎีกาพิพากษายกคำร้องของนางจอมทรัพย์ ว่า เมื่อศาลฎีกาตัดสินให้ยกคำร้องแล้ว เท่ากับว่าผลของคดีที่เคยตัดสินไว้ไม่มีการเปลี่ยนแปลงผลเป็นอย่างอื่น คือ นางจอมทรัพย์ ได้กระทำความผิดและศาลลงโทษจำคุกไว้ เป็นเวลา 3 ปี 2 เดือน แต่เนื่องจากนางจอมทรัพย์ เคยรับโทษและภายหลังได้รับการอภัยโทษแล้ว จึงพ้นโทษนั้นแล้ว
สำหรับคำพิพากษาของศาลฎีกาที่ออกมาวันนี้แสดงให้เห็นว่า การขอรื้อฟื้นคดี ไม่มีพยานหลักฐานใหม่ ที่ชัดแจ้งและสำคัญต่อคดีที่จะแสดงว่าผู้ร้องไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด ดังนั้นศาลจึงยกคำร้อง และเนื่องจากว่าคำพิพากษาการขอรื้อฟื้นคดีนี้เป็นคำสั่งของศาลฎีกา ดังนั้นคู่ความจึงไม่อาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดๆ ต่อไปได้ โดยคดีถือเป็นที่สุดแล้ว เพราะการยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีสามารถทำได้ครั้งเดียว เมื่อศาลฎีกามีคำพิพากษายกคำร้องแล้ว ผู้ร้องก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรับเงินค่าทดแทนหรือเงินเยียวยาได้