- Home
- Isranews
- เกาะประเด็น
- ไซเตสปลดไทยพ้นบัญชีดำค้างาช้างข้ามชาติ
ไซเตสปลดไทยพ้นบัญชีดำค้างาช้างข้ามชาติ
วันที่ 24 ส.ค.2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเพจเฟซบุ๊กกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยข่าวดีระดับโลกว่าในการประชุมภาคีสมาชิกอนุสัญญาไซเตส (COP-18 ) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-28 ส.ค.นี้ ที่นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส
นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช นำทีมผู้แทนไทยเข้าร่วมการประชุมไซเตส (COP-18) ซึ่งมีข่าวดีว่าผลการพิจารณาวาระการรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการค้าช้าง (ETIS Report) พบว่าปีนี้ไทยไม่ถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้างาช้างผิดกฎหมายแล้ว ซึ่งหมายความว่า ไทยหลุดพ้นจากการที่จะต้องเป็นประเทศที่ต้องพัฒนา และดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งชาติ
“การปลดไทยพ้นแบลกลิสต์ค้างาช้างในปีนี้เนื่องจากไม่มีคดีงาช้างล็อตใหญ่ รวมทั้งมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น มีประสิทธิภาพ ถึงแม้จะมีตลาดงาช้างภายในประเทศ แต่ก็มีกฎหมายภายใน และมาตรการควบคุมดูแลอย่างรัดกุม”
แบ่ง 3 กลุ่มจับตายังมีการลักลอบขาย
ทั้งนี้องค์กร TRAFFIC ผู้จัดทำรายงานการวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการค้าช้าง (ETIS Report) เสนอต่อไซเตสครั้งนี้ ได้แบ่งกลุ่มประเทศที่มีความน่ากังวลเกี่ยวกับการค้างาช้างออกเป็น 3 กลุ่ม โดยใช้ข้อมูลในปี พ.ศ. 2558-2560 ประกอบด้วย กลุ่ม A (เดิมคือ Primary Concern) เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้างาช้างผิดกฎหมายมากที่สุด คือ มาเลเซีย โมซัมบิก ไนจีเรีย และเวียดนาม
กลุ่ม B (เดิมคือ Secondary Concern) เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้างาช้างผิดกฎหมายอย่างชัดเจน คือ เคนยา แทนซาเนีย ยูกันดา จีน และฮ่องกง และกลุ่ม C (เดิมคือ Importance to watch) เป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการค้างาช้างผิดกฎหมาย คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกสาธารณรัฐคองโก แอฟริกาใต้ คาเมรูน กาบอง ซิมบับเว แองโกลา สหรัฐอาหรับเอมิเรต เอธิโอเปีย เขมร สิงคโปร์ ลาว ตุรกี และบุรันดี
เลขาฯ ไซเตส ชมไทยจริงจังแก้ปัญหาค้างาช้าง
ทั้งนี้ คณะผู้แทนไทยยังเข้าเยี่ยมคารวะเลขาธิการไซเตส พร้อมหารือเกี่ยวกับงานอนุสัญญาไซเตสของไทย โดยเฉพาะการปรับปรุง พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนพ.ย.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกอนุบัญญัติ เพื่อกำหนดรายะเอียดแนวทางปฏิบัติต่อไป
“เชื่อว่ากฎหมายใหม่จะช่วยให้การปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เนื่องจากมีการกำหนดชนิดพันธุ์ที่ได้รับความคุ้มครองที่สอดคล้องกับอนุสัญญาไซเตส และบทลงโทษที่รุนแรงจะช่วยควบคุมป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมเกี่ยวกับสัตว์ป่าได้ดียิ่งขึ้น”
เลขาธิการไซเตส ได้แสดงความชื่นชมไทยที่ได้ดำเนินมาตรการหลายอย่างในการปฏิบัติตามอนุสัญญาไซเตส ซึ่งมีผลการดำเนินการที่ดีและสามารถเป็นผู้นำในระดับภูมิภาคในการดำเนินการดังกล่าว ทั้งนี้ หลายเรื่องที่ประสบความสำเร็จเป็นเรื่องที่ยาก และใช้เวลาในการดำเนินการ ทั้งเรื่องการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการงาช้าง จนกระทั่งไทยสามารถออกจากกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการงาช้าง และแสดงให้เห็นว่าเป็นประเทศที่ไม่เกี่ยวข้องกับการค้างาช้างที่ผิดกฎหมาย หรือการแก้ไขกฎหมายสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า