เครือข่ายผู้ประสบภัยเขาพนม จัด “เวที 60 วันบทเรียนจัดการภัยพิบัติกับนโยบายทางการเมือง”

เครือข่ายผู้ประสบภัย อ.เขาพนม จ.กระบี่ และภาคีเครือข่ายจัด “เวที 60 วันบทเรียนจัดการภัยพิบัติกับนโยบายทางการเมือง” หวังสะท้อนบทเรียนจากพื้นที่สู่การขับเคลื่อนเชิงนโยบาย

สืบเนื่องจากเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วม 51 จังหวัด 31,176 หมู่บ้าน  2,523,608 ครัวเรือน เมื่อวันที่ 19 พ.ย. 53 ทำให้มีผู้ได้รับผลกระทบ 8,663,221 คน เสียชีวิต 213 ราย พื้นที่เกษตรเสียหายกว่า 10 ล้านไร่ และดินโคลนถล่มใน 9 จังหวัดภาคใต้ เมื่อวันที่ 29 มี.ค. ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีชาวบ้านได้รับผลกระทบ 2,071,929 คน 5,086 หมู่บ้าน 622,512  ครัวเรือน บ้านเรือนเสียมากกว่า 1,200 หลังคาเรือน พื้นที่เกษตรกรรมเสียหายกว่า 1.3 ล้านไร่ นอกจากนี้ยังมีเหตุภัยพิบัติอื่นๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทั้งสึนามิ พายุถล่ม ไฟไหม้ป่า น้ำล้นเขื่อนและน้ำป่าไหลหลาก

และจากเหตุภัยพิบัติหลายครั้ง พบว่าระบบการช่วยเหลือมีข้อจำกัด  ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น การไม่มีแผนรับมือ เหตุเกิดขึ้นกว้างขวางกว่าประมาณการหรือระบบที่วางไว้เกิดขัดข้องรุนแรง ด้านผู้ประสบภัยยังรอรับบริการเพียงอย่างเดียวขณะที่มีผู้เดือดร้อนจำนวนมากและหลากหลาย รวมถึงการช่วยเหลือจากส่วนกลางยังเข้าถึงพื้นที่ล่าช้า ฯลฯ

ดังนั้นในวาระ ครบ 2 เดือนการเกิดภัยพิบัติภาคใต้ ทางเครือข่ายเครือข่ายผู้ประสบภัย อ.เขาพนม สภาองค์กรชุมชน จ.กระบี่, เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิและสิทธิชุมชน, คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป, โครงการฟื้นฟูวิถีชีวิตและเตรียมความพร้อมรับมือภัยพิบัติโดยชุมชนเป็นแกนหลัก, มูลนิธิชุมชนไท และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เครือข่ายชุมชนเพื่อการปฏิรูปสังคมและการเมือง ( คปสม.) และมูลนิธิอันดามัน จึงจัด  “เวที  ๖๐ วันบทเรียน การจัดการภัยพิบัติ กับนโยบายทางการเมือง” ขึ้นในวันที่ 6-7 มิ.ย. นี้ ณ บ้านพักชั่วคราว ห้วยเนียง หมู่ 10 ต.เขาพนม อ.เขาพนม จ.กระบี่ 

ทั้งนี้ เพื่อสรุปบทเรียนจากพื้นที่ภัยพิบัติ กระบวนการแก้ไขฟื้นฟู หาแนวทางความร่วมมือในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันระหว่างภาคีทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงเสนอรูปธรรมปัญหาต่อระดับนโยบายการเมืองและสาธารณะ ซึ่งจะทำให้การฟื้นฟูทุกดด้านเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และมีพัฒนาการต่อเนื่องนำไปสู่การมีแผนรับมือที่สอดคล้องกับสภาพปัญหา ประหยัดงบประมาณ ที่สำคัญเป็นการเสริมสร้างให้ชุมชนและองค์กรท้องถิ่นเข้มแข็ง มีความพร้อมต่อการรับมือภัยพิบัติที่สามารถเกิดขึ้นซ้ำอีกได้ และเพื่อให้สังคมคมไทยได้ตระหนักว่าภัยพิบัติไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป.