- Home
- Isranews
- กระจายข่าว
- พ.ร.บ. อีอีซี จุดพลุลงทุนไทยยกระดับคุณภาพชีวิต
พ.ร.บ. อีอีซี จุดพลุลงทุนไทยยกระดับคุณภาพชีวิต
หลังจากที่พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 ได้ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 15 พ.ค. เป็นต้นมา นับเป็นการจุดพลุฉลองครั้งใหญ่ให้กับการลงทุนในประเทศไทยที่จะกลับมาเชื่อมโลกให้ไทยแล่น เพราะนี่คือกฎหมายการลงทุนที่ถูกเขียนมาเป็นอย่างดีเท่าที่เคยมีมาซึ่งทำให้นักลงทุนไทย และต่างชาติก็ปฏิเสธไม่ได้ และต่างก็ออกมาขานรับถึงความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในไทยที่เพิ่มขึ้นไปอีก
สำหรับเนื้อหาสาระสำคัญของ พ.ร.บ. อีอีซี มีเจตนารมณ์ในการพัฒนาเชิงพื้นที่ให้เต็มศักยภาพ ต่อเนื่องและยั่งยืนโดยมีขอบเขตพื้นที่ที่ชัดเจนได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง และพื้นที่อื่นใดที่อยู่ในภาคตะวันออกที่กำหนดเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกา เป็นเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก เพื่อวัตถุประสงค์ อาทิ 1. พัฒนากิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ทันสมัยเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2. จัดให้มีการบริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร 3. พัฒนาเมืองให้ทันสมัยระดับนานาชาติ ฯลฯ
กำหนดกลุ่มเป้าหมายพิเศษ ซึ่งอย่างน้อยต้อง ประกอบด้วย 1.ยานยนต์สมัยใหม่ 2. อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 3. การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ 4. การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5. การแปรรูปอาหาร 6. หุ่นยนต์ 7. การบินและโลจิสติกส์ 8. เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 9. ดิจิทัล และ 10. การแพทย์และสุขภาพครบวงจรมีการจัดตั้ง “คณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” มีนายกฯ เป็นประธาน รองนายกฯ เป็นรองประธาน ที่เหลือมีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องและตัวแทนอื่นๆ โดยบอร์ดอีอีซีมีอำนาจ อาทิ กำหนดนโยบายเพื่อพัฒนาอีอีซี, ให้ความเห็นชอบแผนผังการใช้ประโยชน์ที่ดิน, โครงสร้างพื้นฐาน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม พ.ร.บ. อีอีซี ฉบับนี้เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่มาตรา 61 ได้กำหนดไว้ให้จัดตั้งกองทุนขึ้นกองทุนหนึ่งในสำนักงาน เรียกว่า “กองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นทุนสนับสนุนการพัฒนาพื้นที่ ชุมชน และประชาชนที่อยู่ภายในหรือที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก โดยเงินและทรัพย์สินที่เป็นของกองทุนไม่ต้องนำส่งคลังเพื่อเป็นรายได้แผ่นดินโดยให้สำนักงานอีอีซีบริหารจัดการแยกออกจากงบของสำนักงาน ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้ประชาชนในพื้นที่ที่จะได้รับคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน
ทั้งนี้พิสูจน์ได้จากการที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ลงพื้นที่พบปะชุมชนในพื้นที่จังหวัดระยอง ชลบุรีและฉะเชิงเทรา รวมถึงช่วงนี้มีการประชุมรับฟังความคิดเห็นกับหน่วยงานต่างๆ เช่น บมจ. พีทีที โกลบอลเคมีคอล ที่เปิดให้รับฟังความคิดเห็นเรื่องรายงาน และมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ จ. ระยอง ก็พบว่าผู้นำชุมชนและท้องถิ่นต่างก็ให้การตอบรับร่วมแสดงความคิดเห็นและให้ข้อมูลกับหน่วยงานรัฐอันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาอีอีซีเป็นอย่างดี
“โครงการอีอีซี มีจุดมุ่งหมายพัฒนาประเทศที่ดีแต่สิ่งที่ควรทำควบคู่กันคือให้ระมัดระวังผลกระทบต่อชุมชนสิ่งแวดล้อม พื้นที่ทำกินของชาวบ้าน หากกระทบต่อวิถีชีวิต ชุมชน สิ่งแวดล้อมรัฐควรมีการชดเชย เยียวยาให้ผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงซึ่งเห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐจะมีกองทุนพัฒนาชุมชน รอบ EEC และสิ่งสำคัญคือการใช้ข้อบังคับทางกฎหมายอย่างตรงไปตรงมา เปิดเผยข้อมูลต่างๆในการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง” นายสุพจน์ พูลสวัสดิ์ ผู้นำชุมชนและวิทยุชุมชนท้องถิ่น อำเภอเมือง จ.ฉะเชิงเทรา ได้กล่าวแสดงความคิดเห็น ขณะเดียวกันนายกิตติธัช ภูธนะโภคิน ผู้นำชุมชน จ.ชลบุรี
ก็สะท้อนความเห็นว่า โครงการ EEC ควรมีการพัฒนาฝีมือแรงงาน ยกระดับความรู้ทักษะของคนในพื้นที่ด้วยเพื่อให้ใช้เทคโนโลยีได้ เกิดการกระจายรายได้และตอบสนองต่อภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพก่อนการดำเนินงานใดๆ นั้น ควรมีการปรึกษาหารือกับผู้นำ แกนนำ หรือผู้มีบทบาทในท้องถิ่นให้เกิดความเข้าใจ
อันดี เมื่อเวลาจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นกับประชาชนทั่วไปจะได้ช่วยกันอธิบาย สื่อสารความเข้าใจได้ตรงประเด็นสอดรับกับความเห็นของ นายทวีศักดิ์ น้อยเจริญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ตำบลเทพราช อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่มองว่าโครงการ EEC ควรประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ได้รับทราบในรายละเอียด ควรพัฒนาโดยคำนึงถึงเอกลักษณ์ วัฒนธรรมของท้องถิ่น ควรมีการป้องกันผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือภัยพิบัติต่างๆ เสียงสะท้อนเหล่านี้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้นำมาเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดแนวทางการบริหารเพื่อพัฒนาให้พื้นที่อีอีซีเป็นโอกาสในปัจจุบันและอนาคตของทุกภาคส่วน ซึ่งรัฐเองไม่ได้มองการพัฒนาเฉพาะภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่แต่หากยังมองถึงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ภาคเกษตรในพื้นที่ ควบคู่กันอย่างบูรณาการโดยเฉพาะโครงการจัดตั้งระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) ที่จะตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม Smart Park จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ EEC มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลักดันให้ไทยเป็น “มหานครผลไม้โลก” ภายในปี 2564
ด้วยแผนการพัฒนาระบบสาธารณูปโภครองรับทั้งสนามบินอู่ตะเภา รถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ฯลฯ รวมถึงการมี พ.ร.บ. อีอีซี ที่ชัดเจนทำให้เชื่อว่าการลงทุนนับจากนี้ไปจะเห็นตัวเลขก้าวกระโดดมากยิ่งขึ้น เพราะเพียงไตรมาสแรกของปีนี้ก็พบว่าการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนผ่านสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในพื้นที่อีอีซีคิดเป็นมูลค่า 160,000 ล้านบาท และทั้งปีจะมีการลงทุนในพื้นที่อีอีซีไม่น้อยกว่า 300,000 ล้านบาท และในช่วง 5 ปี จะได้เห็นภาพการเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี ที่เป็นการลงทุนปีละ 100,000 ล้านบาท รวม 5 ปี 500,000 ล้านบาท
อีอีซี ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ด้วยการพัฒนาเชิงพื้นที่ที่ต่อยอดความสำเร็จมาจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออิสเทิร์นซีบอร์ดที่ดำเนินมากว่า 30 ปี ที่จะเปลี่ยนผ่านประเทศไทยจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงด้วยการลงทุนด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม จึงปฏิเสธไม่ได้ว่าอีอีซีเป็นความหวังและโอกาสครั้งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องรีบไขว่คว้าร่วมมือกันเพื่อช่วยทำให้คุณภาพชีวิตของคนไทยในอนาคตมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืนตลอดไป