- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ราวกับหนังฮอลลีวูด เส้นทางหนี “พยานคดีอัลรูไวลี” หลบ ตม.-ย้ายที่อยู่-เปลี่ยนชื่อ
ราวกับหนังฮอลลีวูด เส้นทางหนี “พยานคดีอัลรูไวลี” หลบ ตม.-ย้ายที่อยู่-เปลี่ยนชื่อ
ตามรอยวิธีหนีออกนอกประเทศสุดระทึก! ของ "พยานคดีอุ้มนักธุรกิจชาวซาอุฯ" ที่ฝ่าย "พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม" อ้างว่ามี "อัยการ-ดีเอสไอ" เข้าไปเกี่ยวข้อง
ในคำร้องคัดค้านการส่งประเด็นไปสืบปากคำ “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” หรือ “นายเกียรติกรณ์ แก้วเพชรศรี” (เปลี่ยนชื่อ) พยานในคดีลักพาตัว “นายโมฮัมหมัด อัลรูไวลี” นักธุรกิจชาวซาอุดิอาระเบีย ที่ทนายของ “พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะจำเลยที่ 4 ยืนต่อศาลอาญา เมื่อวันที่ 4 ก.พ.2556 ที่ผ่านมา
นอกจากจะใช้เอกสารการซื้อตั๋วเครื่องบินให้กับ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ เพื่อโยงว่ามี “อัยการโจทก์” รายหนึ่ง เข้าไปเกี่ยวข้องกับการนำตัวพยานปากเอกรายนี้ หนีออกนอกราชอาณาจักรไทย
ทั้งๆ ที่ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ ยังมีหมายจับในคดีร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนที่ศาลอุทธรณ์ตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต ตามหมายจับที่ออกโดยศาลจังหวัดมีนบุรี ที่ 380/2552 ลงวันที่ 23 มี.ค.2552
(อ่าน เปิดหลักฐานเด็ด “สมคิด” อ้างมี “อัยการ” ช่วย “พยานคดีอัลรูไวลี” หนีไป ตปท.?)
คำร้องของฝ่าย พล.ต.ท.สมคิด ยังเล่าถึงเส้นทางการหลบหนีหมายจับอันน่าระทึกราวกับภาพยนตร์ฮอลลีวูดของ “พยานปากเอก” รายนี้ ซึ่งมีทั้งย้ายที่อยู่ เปลี่ยนชื่อ-นามสกุล ทำพาสปอร์ตใหม่ เพื่อลบตัวตนเดิม
ไปจนถึงวินาทีที่จะก้าวขาขึ้นเครื่องบิน แต่ถูกตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ห้ามออกนอกประเทศ เพราะยังติดแบล็กลิสต์เนื่องจากมีหมายจับ ก่อนจะถูกบุคคลที่ พล.ต.ท.สมคิด อ้างว่าเป็นพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่มียศ “พันตำรวจโท” และ "ร้อยตำรวจเอก” ย้อนกลับมาช่วยเหลือ
กระทั่งได้ขึ้นบินไปยังประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ในท้ายที่สุด !
โดยคำร้องดังกล่าว ระบุว่า ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค.2554 ถึงวันที่ 18 ม.ค.2555 ที่อัยการโจทก์อ้างว่า พยานปากนี้ยังคงหลบหนีหมายจับอยู่นอกราชอาณาจักร (ไปประเทศกัมพูขาและประเทศซาอุดิอาระเบีย) แต่จำเลยที่ 4 ได้ตรวจสอบหลักฐานของทางราชการพบว่า พยานปากนี้ยังอยู่ในประเทศไทย โดยในวันที่ 14 พ.ย.2554 ได้ย้ายที่อยู่จากบ้านเลขที่ 42/11 ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 30/6 หมู่ 1 ต.ยี่งอ อ.ยี่งอ จ.นราธิวาส
วันเดียวกัน ยังเปลี่ยนชื่อจาก “พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก” เป็น “นายเกียรติกรณ์ แก้วเพชรศรี”
จากนั้น ในวันที่ 30 ต.ค.2555 พยานปากนี้ยังไปยื่นคำขอออกหนังสือเดินทาง ตามหนังสือเดินทางที่ O-402107
โดยคำร้องดังกล่าวอ้างว่า ทั้งการยื่นคำขอเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล และการยื่นคำขอออกพาสปอร์ต พยานปากนี้จะต้องไปดำเนินการด้วยตัวเองทั้งสิ้น !
จากนั้น ช่วงบ่ายของวันที่ 21 พ.ย.2555 ก็มีการซื้อตั๋วเครื่องบินสายการบิน ETIHAD AIRWAYS เที่ยวบินที่ EY 401 ออกเดินทางในวันเดียวกัน เวลา 20.05 น. จากประเทศไทย ไปยังกรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) โดยจากพยานหลักฐานที่มีอยู่ ทำให้ฝ่าย พล.ต.ท.สมคิด เชื่อว่า “อัยการโจทก์” รายหนึ่ง เป็นผู้ดำเนินการซื้อตั๋ว 3 ใบ ให้กับ พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ และพนักงานสอบสวนของดีเอสไออีก 2 คน
(รูป พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก ที่ปรากฎอยู่ในหมายจับที่ 380/2552 ออกโดยศาลจังหวัดมีนบุรี เมื่อวันที่ 23 มี.ค.2552)
อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินทางไปถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ในค่ำวันเดียวกัน ปรากฏว่า พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ ไม่สามารถเดินทางออกนอกราชอาณาจักรไทยได้ เนื่องจากยังมีหมายจับ ต้องยกเลิกการเดินทาง
คำร้องของฝ่าย พล.ต.ท.สมคิด ยังระบุต่อไปว่า เมื่อรู้ว่าเกิดปัญหา พนักงานสอบสวนของดีเอสไอ ยศ “พันตำรวจโท” และ “ร้อยตำรวจเอก” ที่ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองไปแล้ว ก็ได้ย้อนกลับมายกเลิกการเดินทางไปยังยูเออี โดยแจ้งเหตุผลกับเจ้าหน้าที่ว่า “ไม่ทันเครื่อง”
ก่อนที่บุคคลทั้ง 3 จะเลื่อนการเดินทางไปเที่ยวบินที่ EY407 ที่ออกเดินทางในวันที่ 22 พ.ย.2555 เวลา 02.30 น. แทน โดยมีการนำตัว พ.ต.ท.สุวิชชัย หรือนายเกียรติกรณ์ออกไป “โดยไม่ผ่านช่องทางที่ชอบด้วยกฎหมาย”
เพราะตรวจไม่พบข้อมูลการเดินทางออกนอกประเทศทางด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิในคืนวันดังกล่าวแต่อย่างใด
(รายชื่อผู้โดยสารสายการบิน ETIHAD AIRWAYS เที่ยวบินที่ EY407 ที่ปรากฎชื่อนายเกียรติกรณ์ แก้วเพชรศรี (KAEWPETSRI/KEATIKORN) ในที่นั่ง 08D)
เรื่องราวข้างต้น เป็นส่วนหนึ่งในคำร้องคัดค้านการส่งประเด็นไปสืบพยานยังต่างประเทศ ของฝ่าย พล.ต.ท.สมคิด เพราะเห็นว่าพยานรายนี้อยู่ในประเทศตลอดเวลา ก่อนจะถูกนำพาออกนอกประเทศไปโดยเจ้าหน้าที่รัฐบางกลุ่ม เพื่อให้พ้นจากเขตอำนาจของศาลไทย ซึ่งจะทำให้จำเลยเสียเปรียบในการต่อสู้คดี
แม้ท้ายสุด ศาลอาญาจะอนุญาตให้ส่งประเด็นไปสืบปากคำ พ.ต.ท.สุวิชชัยหรือนายเกียรติกรณ์ ที่ประเทศยูเออีก็ตาม
แต่ พล.ต.ท.สมคิด ก็ประกาศไว้แล้วว่า จะยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้เอาผิดกับผู้เกี่ยวข้องต่อการหลบหนีดังกล่าว ทั้งอัยการ-ดีเอสไอ รวม 6 ราย ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในการช่วยจำเลยคดีร่วมกันฆ่ีาผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนให้หลบหนีหมายจับออกนอกราชอาณาจักร !