- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- รางวัลล่อใจเหยียบหมื่นล้าน ! เบื้องหลัง "ป.ป.ช." ชงรื้อ “สินบนศุลกากร”
รางวัลล่อใจเหยียบหมื่นล้าน ! เบื้องหลัง "ป.ป.ช." ชงรื้อ “สินบนศุลกากร”
ผลประโยชน์มหาศาล...แต่ช่องโหว่เพียบ ที่มา ป.ป.ช.เสนอรื้อ "กม.สินบน" กรมศุลกากร ยกตัวเลขปี 52-53 จ่ายเงินรางวัลสูงถึง 1 หมื่นล้าน !!
สาระสำคัญข้อเสนอของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เรื่อง การป้องกันการทุจริตเกี่ยวกับการจ่ายเงินสินบนและรางวัลของกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง ที่เสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 12 มี.ค.2556 ซึ่งที่ประชุม ครม.ได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ไปหาวิธีดำเนินการตามข้อเสนอของคณะกรรมการ ป.ป.ช.
เบื้องต้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเห็นว่า “กรมศุลกากร” เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่มีหน้าที่หลักอย่างน้อย 3 ประการ
1.จัดเก็บรายได้ในรูปของภาษีและค่าธรรมเนียมให้กับรัฐ
2.จับกุมและปราบปรามผู้กระทำผิดกฎหมายศุลกากร
และ 3.ส่งเสริมสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศ
ซึ่งจากภาระดังกล่าวกรมศุลกากรจึงเป็นหน่วยงานหนึ่งที่กฎหมายกำหนดให้มีการจ่ายเงินรางวัล เพื่อสร้างแรงจูงใจแก่เจ้าหน้าที่มิให้กระทำการทุจริตจากการรับสินบนหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นที่มิชอบด้วยกฎหมาย แต่การจ่ายสินบน นับตั้งแต่ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 102 ตรี ซึ่งเพิ่มเติมโดยมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 ที่บัญญัติให้มีการจ่ายเงินสินบนรางวัลในการจับกุมและปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับศุลกากร ได้ก่อให้เกิดปัญหาหลายประการ คือ
1.ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่มีระบบการให้เงินสินบนและเงินรางวัลจาก “ส่วนแบ่งค่าปรับ” ในอัตราที่สูงมาก ก่อให้เกิดปัญหาการทุจริต เช่น การสร้างพยานหลักฐานเท็จ ในการเบิกจ่ายเงินสินบน
2.เกิดพฤติกรรมบิดเบือนจากสิ่งที่ควรกระทำตามหน้าที่ เช่น มุ่งเน้นจับกุมผู้กระทำผิดเกี่ยวกับศุลการเฉพาะในรายที่มีเงินรางวัลค่าปรับสูงๆ ละเลยรายที่มีเงินรางวัลต่ำ หรือไม่มีเงินรางวัล
3.การได้รับเงินรางวัลในอัตราที่สูงมากของเจ้าหน้าที่ศุลกากร ทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในระบบการทำงานของเต้าหน้าที่ โดยข้าราชการกลุ่มหนึ่งได้รับผลตอบแทนจากการปฏิบัติหน้าที่สูงกว่ากลุ่มอื่นๆ ทั้งที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ
และ 4.ปัญหาการทุจริตในลักษณะของการเรียกรับเงินหรือผลประโยชน์ ยังคงมีอยู่
ทั้งนี้ ข้อมูลการจ่ายเงินสินบนรางวัลที่กรมศุลกากรจ่ายให้กับผู้แจ้งความนำจับ และเจ้าหน้าที่ของศุลกากรตั้งแต่เดือน ต.ค.2552 ถึงเดือน เม.ย.2553 เป็นยอดเงินรวมทั้งสิ้น 10,343 ล้านบาท !
“ที่สำคัญ การกำหนดสัดส่วนหรือส่วนแบ่งของเงินรางวัลตามระเบียบกรมศุลกากรว่าด้วยการจ่ายเงินสินบนและรางวัล พ.ศ.2517 ได้กำหนดให้อธิบดีกรมศุลกากรได้ส่วนแบ่ง 12 ส่วน รองอธิบดีคนละ 11 ส่วน ซึ่งเป็นกรณีที่หัวหน้าหน่วยงานหรือผู้มีอำนาจออกระเบียบได้กำหนดให้ตนเองหรือผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานมีสิทธิรับเงินรางวัลในสัดส่วนที่สูงกว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยตรงในการจับผู้กระทำผิด ซึ่งไม่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการกำหนดให้มีเงินรางวัลที่ต้องการส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ” เอกสารของ ป.ป.ช.ระบุถึงพฤติกรรมดังกล่าวว่า เข้าข่ายการมี “ประโยชน์ทับซ้อน” หรือ Conflict of Interest
ป.ป.ช.ยังมองว่า การไม่กำหนดเพดานหรือวงเงินสูงสุดของเงินสิบบนและเงินรางวัลทำให้กรมศุลกากรเป็นหน่วยงานรัฐที่ได้ส่วนแบ่งเงินรางวัลในอัตราที่สูงมาก ทั้งๆ ที่เป็นการปฏิบัติงานในหน้าที่ตามปกติ
นอกจากนี้ ข้อมูลจากสถาบันวิจัยและให้คำปรึกษาของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พบปัญหาการทุจริตสร้างพยานหลักฐานเท็จในการเบิกจ่ายเงินสินบนของเจ้าหน้าที่กรมศุลกากรเพื่อให้ได้เงินสินบนเพิ่มเติม โดยเพิ่มปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่ควรพิจารณาแก้ไข คือ เรื่องโทษปรับตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 27 กำหนดให้ประเป็นเงินที่เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอาการเข้าด้วยแล้ว ในขณะที่ความผิดฐานสำแดงเท็จ หรือหลีกเลี่ยงภาษีตามมาตรา 99 กำหนดโทษปรับไม่เกิน 5 แสนบาท
“เรื่องนี้ทำให้เกิดช่องว่างให้เจ้าที่ศุลกากรนำไปหาประโยชน์จากเงินรางวัลที่หักจ่ายจากเงินค่าปรับตามมาตรา 102 ตรี โดยตีความว่าทำผิดตามมาตรา 27 ทั้งๆ ที่เป็นความผิดตามมาตรา 99 เพื่อให้มีการปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาสินค้า เพื่อหวังจะได้ประโยชน์จากการได้รับเงินรางวัลที่หักจ่ายจากเงินค่าปรับจำนวนมาก”
จากเหตุผลข้างต้น ป.ป.ช.จึงเสนอมาตรการแก้ไขปัญหา ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ดังนี้
มาตรการระยะยาว
1.ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
- ให้ยกเลิกหรือปรับปรุงแก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 102 ตรี แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 ซึ่งเพิ่มเติมโดยมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ.2497 ให้มีการกำหนดอัตราและสัดส่วนการจ่ายเงินสินบนให้เหมาะสมสอดคล้องตามผลงาน ไม่สูงจนเกินไปเพื่อสร้างความเสมอภาพและป้องกันการทุจริต โดยให้กระทรวงการคลังเป็นผู้กำหนดเพดานสูงสุดเอาไว้ด้วย ขณะที่เรื่องส่วนแบ่งต้องมีการพิจารณาว่าบุคคลใดควรได้รับเงินรางวัล และโดยมีการออกกฎ ระเบียบ หรือข้อบังคับ เพื่อควบคุมตรวจสอบการจ่ายเงินสินบน
- ให้มีการปรับปรุงแก้ไขระยะเวลาในการตรวจสอบการเสียภาษีหลังการตรวจปล่อยของ โดยให้มีอายุความลดลงจาก 10 ปี เหลือ 3 ปี นับแต่วันที่นำของเข้าหรือส่งของออก เพื่อป้องกันหรือลดปัญหาการทุจริตกรณีที่มีการเรียกรับผลประโยชน์จากผู้นำเข้าหรือผู้ส่งออก
มาตรการระยะสั้น
2.ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการปรับปรุงแก้ไขระบบงานของกรมศุลกากรเพื่อเป็นมาตรการเสริมในการแก้ไขปัญหาเรื่องการจ่ายเงินสินบนและรางวัล และแก้ไขปัญหาการทุจริต
- กรมศุลกากรต้องกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนว่า การกระทำความผิดลักษณะใดเป็นความผิดตามมาตรา 27 หรือมาตรา 99 แห่ง พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469
- สร้างระบบการเชื่อมโยงข้อมูลพิกัดอัตราภาษีจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษี ให้มีฐานข้อมูลเดียวกัน เพื่อมิให้มีการเรียกเก็บอัตราภาษีแตกต่างกันในสินค้าชนิดเดียวกัน ลดการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ศุลกากร เพื่อให้ผู้นำเข้า-ส่งออกไม่ต้องเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยลง เพื่อแลกผลประโยชน์ที่จะได้รับกับการทุจริต
- ให้มีการพัฒนาและจัดการเกี่ยวกับเรื่องของต้องห้าม ของต้องกำกัด โดยให้หน่วยงานที่มีอำนาจพิจารณาอนุมัติ อนุญาตให้มีการนำเข้า-ส่งออก เชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรเพียงที่เดียว นอกจากนี้ ควรจะมีการปรับปรุงบัญชีรายชื่อของต้องห้าม ของต้องกำกัด เพื่อให้เกิดความชัดเจน และลดการกระทำผิดให้น้อยลง
- การตรวจสอบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าต้องมีการควบคุมดูแล เนื่องจากประเทศไทยทำข้อตกลงการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ ซึ่งมีอัตราภาษี 0% จึงควรสร้างกระบวนการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าที่แท้จริง ก่อนผ่านพิธีกรศุลกากรเพื่อประเมินภาษี เพื่อลดปัญหาการกระทำผิดฐานสำแดงเท็จ
- เพื่อลดปัญหาการเสียภาษีโดยความเข้าใจผิดหรือไม่รู้ของผู้นำเข้า-ส่งออก ควรมีการจัดตั้งหน่วยงานภายในกรมศุลากรเพื่อให้คำแนะนำในเรื่องการเสียภาษี และคอยกำหนดดูแลเรื่องราคาสินค้า พิกัดอัตราศุลกากรและแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อป้องปรามและลดปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีของศุลกากร
เอกสารฉบับนี้ลงนามโดยนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธานกรรมการ ป.ป.ช.
---
ความเห็นกระทรวงการคลังต่อข้อเสนอของ ป.ป.ช.
- เรื่องการแก้ไขอายุความในการเรียกเก็บภาษีตามมาตรา 10 ของ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 จาก 10 ปี เหลือ 3 ปี เห็นว่า ควรมีการแก้ไขกฎหมาย แต่ในกรณีที่มีการนำเข้า-ส่งออก โดยผ่านพิธีการศุลกากรถูกต้อง และมิได้มีเจตนาไม่ทุจริต ให้ไม่เกิน 2 ปี แต่กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่าจะมีการทุจริต ให้อธิบดีกรมศุลกากรสามารถขยายเวลาออกไปเกินกว่า 2 ปีได้ แต่ไม่เกิน 5 ปี
- เห็นด้วยกับการเชื่อมโยงข้อมูลทุกส่วนเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ของกรมศุลกากรเพียงที่เดียว
- เห็นด้วยกับการสร้างกระบวนการตรวจสอบถิ่นกำเนิดของสินค้าก่อนจะผ่านพิธีการศุลกากร และได้มีการดำเนินการดังกล่าวอยู่แล้ว
- เห็นด้วยกับการให้มีการจัดตั้งหน่วยงานภายในกรมศุลกากรเพื่อทำหน้าที่ทำให้แนะนำในเรื่องที่สำคัญๆ ต่อการเสียภาษี ซึ่งปัจจุบันได้มีการจัดตั้ง customs care center เพื่อให้คำแนะนำอยู่แล้ว
- กรณีที่ให้มีการยกเลิกหรือลดการจ่ายเงินสินบนและรางวัลนั้น เห็นว่าจะทำให้ไม่สามารถสร้างแรงจูงใจแก่เจ้าหน้าที่มิให้กระทำการทุจริต นอกจากนี้ ยังจะทำให้ไม่มีการระงับคดีในชั้นศุลกากรเท่าที่ควร เพราะจะมีการผลักดันให้คดีขึ้นสู่ศาล ซึ่งสามารถของรับเงินตาม พ.ร.บ.ให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ.2489 ได้ ซึ่งมีอัตราการจ่ายเงินรางวัลเท่ากับกฎหมายศุลกากรในปัจจุบัน ดังนั้นหากจะมีการยกเลิกหรือลดการจ่ายเงินสินบนและรางวัลควรจะแก้ไขกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้ไปพร้อมๆ กัน
- ส่วนปัญหาเรื่องการตีความมาตรา 27 หรือมาตรา 99 ของ พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 การจะกำหนดให้ชัดเจนอาจทำได้ลำบาก เพราะขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นเรื่องๆ ไป อย่างไรก็ตาม กรมศุลกากรได้มีการอบรม/สัมมนาเจ้าหน้าที่ทำความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวอยู่เสนอ ขณะที่กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้กรมศุลกากรแก้ไขบทลงโทษให้เหมาะสม
เอกสารฉบับนี้ลงนามโดยนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงการคลัง
---