- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- “บิ๊กกรมศุลฯ” ซัดกลับ “สรรพากร” ตัวการปัญหาคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.6 พันล้าน
“บิ๊กกรมศุลฯ” ซัดกลับ “สรรพากร” ตัวการปัญหาคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.6 พันล้าน
“บิ๊กกรมศุลฯ” ซัดกลับ “สรรพากร” ตัวการปัญหาคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม 3.6 พันล้าน 30 บริษัทปริศนา!! – ยันตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบมีของส่งออกไปต่างประเทศจริง หากจะผิดก็อยู่ที่ขั้นตอนการแจ้งขอคืนภาษี ชี้เป้าอนุมัติก่อน 6 เดือน พิรุธสำคัญ - มั่นใจล่าตัวผู้บงการไม่ยาก
กรณีกรมสรรพากร ออกมาระบุว่า ในการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 3.6 พันล้าน ให้กับบริษัทเอกชน 30 ราย ที่อยู่ระหว่างการสอบสวนคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในขณะนี้ ได้ยึดถือข้อมูลการส่งออกสินค้า ได้รับจากกรมศุลกากร เป็นหลักฐานสำคัญในการอนุมัติคืนภาษีนั้น
เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2556 ผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของกรมศุลกากร ให้สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ ยืนยัน สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ถึงข้อเท็จจริงเรื่องนี้ว่า ในขั้นตอนการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มของบริษัทเอกชนทั้ง 30 แห่ง จะมาบอกว่ากรมศุลกากร เป็นฝ่ายผิด เพราะเป็นผู้ออกเอกสารรับรองการส่งออกสินค้าให้กับบริษัทเอกชนไม่ได้ เพราะปัญหาเรื่องนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นในขั้นตอนการส่งออกสินค้า แต่เกิดขึ้นจากการที่เอกชนแจ้งข้อมูลมูลค่าสินค้าเกินความเป็นจริง ทำให้ยอดการขอคืนภาษีสูงเกินกว่าความเป็นจริง ต้องไปดูว่ากระบวนการทำงานของกรมสรรพากร เป็นอย่างไร ดำเนินการถูกต้องตามระเบียบที่กำหนดไว้หรือไม่
“จากการตรวจสอบข้อมูลภายในของกรมศุลกากร พบว่า บริษัทเอกชนกลุ่มดังกล่าว มีการส่งออกสินค้าไปจริง เรามีภาพถ่ายรถบรรทุกที่ผ่านเครื่องสแกน จนทำให้รู้ว่ามีสินค้าจริง เป็นหลักฐาน ก่อนที่สินค้าจะถูกส่งออกไปนอกประเทศ เช่น อินเดีย ไม่ใช่ว่าไม่มีสินค้าส่งออกไปเลยแม้แต่ชิ้นเดียว”
ผู้บริหารระดับสูงของกรมศุลกากร รายนี้ ระบุด้วยว่า “ดังนั้น ในกระบวนการกรมศุลกากร ตอนที่เขามายื่นใบขนส่งเสียภาษีสินค้าออก เขาไม่มีความผิดอะไรเลย เขามีของส่งออกจริงอะไรจริง แต่เขาจะมีความผิดก็ต่อเมื่อเขาไปยื่นเรื่องขอคืนภาษี ซึ่งหน้าที่ตรงนี้ ไม่ใช่หน้าที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกรมศุลกากร”
แหล่งข่าวกล่าวว่า นอกจากนี้ บริษัทกลุ่มนี้ ยังไม่ได้มายื่นขอสิทธิพิเศษอะไร กรมศุลกากรคือแค่ต้นทาง เหมือนกับคนที่ตั้งใจจะไปขโมยของร้านสะดวกซื้อ ตอนเข้าไปในร้านยังไม่ผิด จะผิดก็ต่อเมื่อไปหยิบของ และเดินออกมา ซึ่งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ข้างนอกขอออกจะต้องดู ตนก็สามารถพูดได้เพียงเท่านี้ แต่ไม่ใช่ว่าจะใครจะมาซัดต่อว่าความผิดอยู่ที่กรมศุลกากรแบบนี้มันไม่ใช่ มันไม่ถูกต้อง
“เขาส่งสินค้าออกไป มันมีสินค้าออกจริง แต่ที่มันโกงก็คือว่า ราคาที่มันสำแดงมันสูงเกินไป และก็มาขอคืนภาษี ขณะที่สถานที่ประกอบการ มีจริงไหม ขั้นตอนการขอคืนภาษีถูกต้องหรือเปล่า อันนี้ต้องไปถามกรมสรรพากรเอาเอง ทางเราไม่รู้เรื่อง แต่ในส่วนกรมศุลกากร ตอนที่เขายื่นใบส่งสินค้า เมื่อมีสินค้าออกจริงถูกต้อง เขาไม่มีความผิดอะไร ความผิดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเขาไปยื่นเรื่องขอคืนภาษี ซึ่งเป็นหน้าทีของอีกหน่วยงานหนึ่ง ที่จะต้องตรวจสอบความมีอยู่และความเป็นจริงของบริษัทเหล่านี้ มันมีไหม อันนี้ คือ ข้อเท็จจริง”
ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ยืนยันว่า ไปตรวจสอบข้อมูลบริษัทกลุ่มนี้ พบว่าเป็นห้องเช่าโล่งๆ ขณะที่กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็เป็นชาวนา และลูกจ้างโรงงาน
ผู้บริหารระดับสูงของกรมศุลกากรรายนี้ ระบุว่า “อันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของกรมศุลกากร เป็นหน้าที่ของหน่วยงานอื่นที่จะต้องไปดู แต่หน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกรมศุลกากร ตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อมูล ซึ่งรวบรวมมาได้แล้วประมาณ 24 บริษัท และเตรียมที่จะส่งเรื่องให้ ทางดีเอสไอ ในเร็วๆ นี้ ”
ผู้บริหารกรมศุลกากร ระบุด้วยว่า “ตอนที่บริษัทกลุ่มนี้ มาติดต่อกับทางกรมศุลกากร เขาไม่ได้ยื่นอะไรเลยนะ เขามาแค่ส่งออกธรรมดา เราก็ตรวจสอบดูพบว่ามีของออกจริง เราก็ออกใบรับรองขนส่งสินค้าให้ไป ซึ่งเราก็ไม่มีหน้าที่ไปตรวจ เพราะไม่รู้ว่าเขาจะไปยื่นเรื่องขอคืนภาษี เราก็เลยไม่ต้องไปตรวจสอบราคา และการส่งออกสินค้า เอาเงินเข้าประเทศเยอะๆ เป็นเรื่องที่กรมศุลกากรสนับสนุน”
เมื่อถามว่า บุคคลที่มีติดต่อเรื่อง 30 บริษัท กับกรมศุลกากร เป็นคนๆ เดียวกันหรือไม่ ผู้บริหารระดับสูงรายนี้ ระบุว่า เขาไม่ได้มีการส่งคนมาติดต่อ เขาจะยิงระบบ Paperless (พิธีการศุลกากรเป็นไปแบบไร้เอกสาร) ไม่มีการมายื่นเอกสาร ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์ ไม่มีการเจอผู้ประกอบการ ไม่มีลายลักษณ์อักษร
เมื่อถามว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่า ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ คือใคร ผู้บริหารรายนี้ ตอบว่า “คงเป็นเรื่องของพนักงานสอบสวน ซึ่งขณะนี้เรื่องอยู่ที่ ดีเอสไอแล้ว แต่ไม่น่าจะรอดหรอก สอบพยานบุคคล ไล่อะไรนิดหน่อยก็ได้แล้ว ยังไงก็ต้องเจอ”
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารระดับสูงรายนี้ ระบุว่า หัวใจสำคัญของเรื่องนี้ ในขั้นตอนการทำงานของกรมสรรพากร น่าจะอยู่ที่ ขั้นตอนและวิธีการคืนภาษี ของเจ้าหน้าที่สรรพากรบางราย ที่ปรากฏข้อมูลว่า เป็นผู้สั่งการให้คืนภาษีมูลค่าเพิ่มแก่บริษัทเอกชน 30 บริษัท โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 6 เดือน ตามแนวทางปฏิบัติเดิมของกรมสรรพากร ชี้ให้เห็นพิรุธชัดเจน