- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ การเมืองชู “เขตปกครองพิเศษ” การทหาร ขวางเต็มประตู
ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ การเมืองชู “เขตปกครองพิเศษ” การทหาร ขวางเต็มประตู
คาวเลือดและคราบน้ำตาของพี่น้องชาวไทยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ยังคงคละคลุ้งและไหลนองตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าฝ่ายความมั่นคงจะพยายามสร้างความเชื่อมั่นด้วยถ้อยแถลงจากปากผู้นำกอง ทัพ หรือผู้นำประเทศว่าแนวทางการดับไฟใต้เดินมาอย่างถูกทิศถูกทางแล้ว แต่ทว่ากลับสวนทางกับข้อเท็จจริงที่ประจักษ์อยู่โดยสิ้นเชิง
ความสูญเสียที่เกิดขึ้นใน จ.ยะลา จ.ปัตตานี และจ.นราธิวาส คือความชินชาของสังคม ฉายภาพผ่านเหตุความไม่สงบรายวันจนมิอาจเลี่ยงบาลีเป็นอื่นไปได้ โดยเฉพาะภายหลังเกิดการปล้นปืนที่ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์กองพัน พัฒนา 4 จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2547 ถือเป็นการนับหนึ่งแห่งศักราชความรุนแรง
แน่นอนว่าตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน มีข้อเสนอดับไฟใต้หลากหลายนับไม่ถ้วน ไล่มาตั้งแต่ยุทธศาสตร์สายพิราบที่มุ่งสร้างความเข้าใจและยอมรับความต่าง ไปจนกระทั่งแนวทางสายเหยี่ยวชนิดถึงลูกถึงคน ใครแรงมาต้องแรงตอบ
คำถามคือระยะเวลาร่วม 7 ปี กับจำนวนดอกไม้ที่ร่วงโรยรายวัน ช่วยให้ฝ่ายความมั่นคงหรือนักการเมือง ตกผลึกความคิดเพื่อถอดสลักความขัดแย้งได้บ้างหรือไม่ ?
อีกเพียงไม่ถึง 1 สัปดาห์ การเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศภายใต้ปมการเมืองขมึงเกลียวกำลังจะเกิดขึ้น วันที่ 3 ก.ค.ได้รับการจับตามองเป็นพิเศษว่าจะเป็น “จุดเปลี่ยน” ประเทศไทยหรือไม่ ที่สำคัญรัฐบาลใหม่จะกุมหางเสือนำพาความสุขสงบกลับคืนผืนแผ่นดินไทยทุกอณูอย่างไร
นั่นเพราะ 2 ขั่วอำนาจใหญ่ “เพื่อไทย-ประชาธิปัตย์”มีจุดยืนและท่าทีต่อปัญหาที่เกิดขึ้นแตกต่างกันชนิดหน้ามือหลังมือ
พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะผู้สัมผัสปัญหามาโดยตลอด เนื่องด้วยมีฐานเสียงอยู่ในภาคใต้และครองอำนาจรัฐหลังสุดก่อนมีการยุบสภา เสนอทางออกผ่านมุมมอง นายถาวร เสนเนียม ว่า ควรสร้างเสถียรภาพในการบังคับบัญชาให้เจ้าหน้าที่ทหาร ซึ่งหากได้กลับมาเป็นรัฐบาลส่วนตัวเสนอให้ถอนรองแม่ทัพภาคที่ 1 , 2 และ 3 ออกจากพื้นที่ ปล่อยให้ทั้งหมดเป็นการจัดการของแม่ทัพภาคที่ 4 เท่านั้น แต่ยังจำเป็นต้อคงกองกำลังของทุกกองทัพภาคไว้
นอกจากนี้ ให้บรรจุกองพลทหารราบที่ 15 ให้เต็มอัตรากำลัง คือประมาณ 1.5 - 2 หมื่นนาย โดยกองกำลังนี้เป็นคนในพื้นที่ รู้จักคน รู้สถานที่ รู้วัฒนธรรม รู้ประเพณี และจะเพิ่มอาสาสมัคร ( อส.) สำรองฝ่ายพลเรือนซึ่งเป็นคนในพื้นที่ไปไว้ใน 6 เมือง คือ สุไหงโกลก เบตง หาดใหญ่ ปัตตานี ยะลา นราธิวาส เมืองละ 240 คน พร้อมกันนี้จำเป็นต้องเพิ่มบทบาทให้กับศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาค ใต้ (ศอ.บต.) และเพิ่มคณะกรรมการพัฒนายุทธศาสตร์ชายแดนใต้ (ก.พ.ต.) ด้วย
อย่างไรก็ตาม นาทีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแส “เพื่อไทย” มา แรง จับต้องได้จากผลสำรวจของทุกสำนักที่ดาหน้ากันออกมา จึงไม่ใช่เรื่องไกลเกินจริงหากจะพิเคราะห์ปัญหาบนพื้นฐานที่ว่า เมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแล้วรูปแบบการดับไฟใต้จะเป็นอย่างไร
ช่วงกลางเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัครส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อลำดับที่ 1 พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และแสดงวิสัยทัศน์ต่อการยุติความรุนแรงไว้ว่า “พื้นที่แห่งนี้ควรถูกยกระดับการพัฒนาในพื้นที่เป็นการปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ” แต่ก็ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดแต่อย่างใด
ความดังกล่าวได้รับการขยายจาก นายซูการ์โน มะทา ผู้สมัคร ส.ส.ยะลา พรรคเพื่อไทย ในฐานะทีมยุทธศาสตร์ภาคใต้ของพรรค
นายซูการ์โน บอกว่า ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์แก้ปัญหาภาคใต้ผิดวิธีจึงได้รับความล้มเหลวโดย สิ้นเชิง ภาพสะท้อนคือชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องสังเวยให้กับผู้ก่อ ความไม่สงบ ในขณะที่รัฐบาลก็ทุ่มงบประมาณลงในพื้นที่มหาศาล ผนวกกับกองกำลังที่ส่งลงไปกว่าแสนคน แต่ไม่สามารถคุ้มครองให้ความปลอดภัยใครได้เลย
“รัฐบาลประชาธิปัตย์ใช้งบประมาณมากกว่าทุกรัฐบาลแต่กลับเพิ่ม ความรุนแรงของเหตุการณ์มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการตั้งศอ.บต.ขึ้นมาก็ไม่ได้เป็นกลไกช่วยให้ขับเคลื่อนแก้ปัญหาแต่ อย่างใด” แกนนำภาคใต้พรรคเพื่อไทยชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลว พร้อมระบุว่าหากได้จัดตั้งรัฐบาลจะ “ยุบ” หน่วยงานนี้ทันที
สอดคล้องกับแนวทางของ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ กรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย และคณะทำงานด้านยุทธศาสตร์และนโยบายภาคใต้ ที่เห็นว่า นโยบายการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นในลักษณะ “เขตปกครองพิเศษ” คล้ายกับกทม.นั่นเพราะประชาชนที่มีภูมิลำเนาอยู่บริเวณ 3 จังหวัดนี้ย่อมรู้ปัญหาของตัวเองดี
จากการสำรวจความต้องการของประชาชนพบว่า 1.ต้องการอยู่ในใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร โดยไม่คิดจะแบ่งแยกดินแดนและเรียกร้องให้แก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี 2.ต้องการสิทธิเสรีภาพในการดูแลตัวเองภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญ 3.ต้องการในการรักษาไว้ซึ่งอัตลักษณ์ ภาษา และวัฒนธรรมของตัวเอง
พล.ต.ท.ฉลอง บอกว่า ขณะนี้พรรคเพื่อไทยได้เตรียมที่จะยกร่างกฎหมายเพื่อรองรับการปกครองด้วยเขต ปกครองพิเศษเอาไว้แล้ว แต่มีบางประเด็นที่จำเป็นต้องรับฟังเสียงของประชาชน อาทิ จะรวมพื้นที่ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอมาอยู่ในเขตเดียวกันหรือไม่ แต่ในทางปฏิบัตินั้นประชาชนก็คงไม่อยากรวมกัน
ขณะที่เสียงของพรรคอื่นๆ ส่วนใหญ่ประสานไปในทิศทางเดียวกันคือชู “เขตปกครองพิเศษ” แทบทั้งสิ้น
ทว่าอีกซีกหนึ่งคือผู้ปฏิบัติงานกลับเห็นต่างออกไป
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) แสดงความเห็นต่อแนวคิดเรื่องเขตปกครองพิเศษเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า “อยากให้กลับไปทบทวนให้ดี”
พล.อ.ประยุทธ์ ระบุชัดว่า ปัญหาภาคใต้ต้องแก้ด้วยความเข้าใจและการมีส่วนร่วมของประชาชน และประเทศไทยจำเป็นต้องมี “การปกครองในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค” ใครที่จะเสนอความคิดเป็นอย่างอื่นขอให้กลับไปทบทวนดูให้ดีว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อการจะเกิดขึ้นอะไรในอนาคตหรือไม่
“ผมทราบดีถึงประชาธิปไตยจะต้องทบทวนว่าประเทศชาติสำคัญที่สุด ดังนั้นการทำอะไรหากสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความไม่เข้มแข็ง หรือเกิดความอ่อนแอต่ออำนาจของรัฐ ผมว่าน่าเป็นห่วงประเทศไทย”ผบ.ทบ.ย้ำชัดถึงจุดยืนไม่เห็นด้วยกับเขตปกครองพิเศษ
สำทับด้วยมุมมองฝ่ายความมั่นคง “หน่วยข่าวกรอง” กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า ซึ่งตามแกะรอยขบวนการก่อความไม่สงบมาไม่ต่ำกว่า 10 ปี
เขา วิพากษ์ว่า แท้จริงแล้วประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ต้องการแบ่งแยกดินแดนหรือต้องการเขต ปกครองพิเศษใดๆ เพียงแต่นักการเมืองมักจะนำประเด็นเหล่านี้เข้าไปหาเสียงและขยายความตามความ ด้อยปัญญาที่ตัวเองมี นักวิชาการหน่อมแน้มก็มักจะสนับสนุนโดยไม่มองยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง
“ผู้ก่อความไม่สงบที่เรายอมรับกันว่าเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน นั้นมีขั้นตอนการดำเนินการเพื่อให้บรรลุจุดหมายสูงสุดคือเอกราช เราเรียกมันว่าบันได 7 ขั้น เมื่อปี 2550 ที่ผ่านมาเขาได้เคลื่อนไหวจนครบ 7 ขั้นไปแล้วแต่ไม่สำเร็จ ตอนนี้จึงกลับมาทบทวนและสร้างกองกำลังใหม่อีกรอบ ตอนนี้แนวของเขายังชู “เขตปกครองพิเศษ” โดยการกำหนดขั้นเพื่อประกาศเอกราชตามที่องค์กรสากลสนับสนุนนั้น ขั้นปกครองตนเองเป็นขั้นสุดท้ายก่อนเข้าสู่การประกาศเอกราช
ในทางการเมืองช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แนวร่วมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนได้เดินเกมอย่างลุ่มลึก เขาพยายามเผยแพร่ข้อมูลโดยอ้างอิงหลักวิชาการ จัดสัมมนาหลายร้อยครั้ง แจกเอกสาร ให้เครือข่ายต่างชาติหรือที่เป็นที่ยอมรับในสากลพูดสนับสนุน เมื่อนักการเมืองไร้เดียงสา นักวิชาการไร้เดียงสาอยากจะโหนกระแสก็นำมาจัดทำเป็นนโยบายเขตปกครองพิเศษ
ความเป็นจริงแล้วแกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดนได้เขียนไว้ในธรรมนูญการต่อสู้เมื่อปี 2534 ว่าเป้าหมายของรัฐมลายูคือต้องได้มาซึ่ง “เขตปกครองพิเศษ” ก่อนประกาศ “เอกราช” ในท้ายที่สุด”
นายทหารกอ.รมน. อธิบายว่า ปัญหาในภาคใต้จะแก้ไขได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ และประสิทธิภาพในการขับเคลื่อนยุทธวิธี โดยทางยุทธศาสตร์จะต้องมีความพร้อมในการขับเคลื่อนผ่านระบบราชการอย่างมี เอกภาพ ขณะที่ยุทธวิธีต้องประเมินว่า 7 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน เจ้าหน้าที่มีความเชี่ยวชาญที่จะต่อกรกับคู่ขัดแย้งพอหรือไม่
“ตอนนี้มันมีทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธี แต่ไม่มีประสิทธิภาพ” เจ้าหน้าที่รายนี้ยอมรับ และยืนยันว่า ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบไม่สามารถจะเอาชนะเจ้าหน้าที่ได้ แต่ฝ่ายเราก็ไม่สามารถเผด็จศึกได้เช่นกัน ดังนั้นคงต้องยันกันไปยันกันมาอย่างไม่รู้จบ ใครเพลี้ยงพล้ำก็สูญเสีย
น่าฉุกคิดว่า พรรคการเมืองไทยที่ผ่านมา และ “พรรคเพื่อไทย” ที่มีโอกาสเป็นรัฐบาลในอนาคตอันใกล้ กำหนดแนวทางการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนใต้ถูกควรแล้วจริงหรือ ?