- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เซลล์นโยบายสาธารณสุข ทำได้จริงหรือแค่สร้างภาพ
เซลล์นโยบายสาธารณสุข ทำได้จริงหรือแค่สร้างภาพ
นโยบายการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ณ วินาทีนี้ ถ้าหากไม่หยิบยกมาพูดคุยในวงสนทนา คงต้องขอบอกว่า “คุณกำลังตกกระแสอย่างแรง” โดยเฉพาะนโยบายด้านสาธารณสุข ที่เกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันคนไทยทั้งชาติจำนวนกว่า 60 ล้านคน
ถ้าหากเปรียบเทียบนโยบายด้านสาธารณสุขเฉพาะพรรคการเมืองใหญ่ๆ ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด หรือพรรคการเมืองที่มีนโยบายด้านนี้โดดเด่น ก็คงหนีไม่พ้น4 -5 พรรค ได้แก่ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคชาติพัฒนาพื่อแผ่นดิน และพรรคชาติไทยพัฒนา
ปชป.บัตรประชาชนใบเดียวรักษาฟรี
ใน ส่วนของพรรคประชาธิปัตย์นั้น มุ่งมั่นที่การพัฒนาระบบสุขภาพครบวงจรโดยเน้นเสริมสร้างสุขภาพสู่ความ ยั่งยืนของประชาชน รวมทั้งการจัดและส่งเสริมให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่าง ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ โดยผู้ไม่มีหลักประกันหรือผู้ยากไร้จะได้รับการดูแล รักษาฟรี อย่างมีมาตรฐานเดียวกัน ประกอบด้วย 1.ใช้บัตรประชาชน รักษาฟรี ทั้งที่โรงพยาบาลรัฐและคลีนิคเอกชนที่เข้าร่วมโครงการภายในจังหวัดเดียวกัน โดยจัดงบประมาณค่ารักษาพยาบาลต่อหัวไม่ต่ำกว่า 2,100 บาท 2.ยกระดับ “สถานีอนามัย” ให้เป็น
“โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล” (รพ.สต.) โดยเน้นการส่งเสริม ป้องกันและ ฟื้นฟูสุขภาพ แต่ยังคงบทบาทด้านการรักษาพยาบาลเหมือนเดิม 3.ส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เป็นผู้รับผิดชอบหรือมีส่วนร่วมในการผลิตบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ด้วยการจัดสรรทุนและคัดเลือกบุคลากรในท้องถิ่นไปศึกษา ตามสถาบันต่างๆ และกลับมาทำงานในท้องถิ่นนั้น และ 4.ให้อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ทั่วประเทศ ปฎิบัติงานด้านสาธารณสุขเชิงรุก และมีค่าตอบแทน
พท.ปัดฝุ่น 30 บาทรักษาทุกโรค
ด้านพรรคเพื่อไทยก็ไม่น้อยหน้า จัดแคมเปญโครงการ 30 บาท รักษาทุกโรค รักษาอย่างมีคุณภาพ โดยมุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย ทั้ง 3 ด้าน คือ สุขภาพกาย (Physical Health) สุขภาพจิต (Mental Health) และวุฒิปัญญา (Intellectual Health) ด้วยการเร่งรัดการให้บริการทางการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีมาตรฐานและคุณภาพทั้งในภาครัฐและเอกชน ส่งเสริมการผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ให้มีคุณภาพและพอเพียงต่อภารกิจ จัดให้มีการกระจายบุคลากรที่เหมาะสม ขยายงานสาธารณสุขมูลฐานในชนบท โดยสนับสนุนองค์กรชุมชน สถาบันครอบครัว อาสาสมัครสาธารณสุข ให้มีความรู้และบทบาทในการส่งเสริมเวชศาสตร์เชิงป้องกันและดูแลสุขภาพอนามัย ของประชาชน ประชาสัมพันธ์ ขยายผลให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจในพฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้อง ส่งเสริมการดูแลสุขภาพของตนเอง รวมทั้งการป้องกันโรค ป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดต่อร้ายแรง รวมทั้งการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดโรคเอดส์ในกลุ่มเสี่ยงทุกกลุ่ม ดูแลรักษาและพัฒนาศักยภาพของผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย ครอบครัวและชุมชน ให้รู้จักการป้องกันและแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง เฝ้าระวังและตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของ ประชาชน ให้อยู่ในระดับมาตรฐานความปลอดภัย ตลอดจนส่งเสริมให้ประชาชนคนไทยมีสุขภาพและพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงด้วยการ ออกกำลังกาย อันเป็นการลดต้นทุนของการแก้ปัญหาสุขภาพในระยะยาวของประเทศ
นอก จากนี้ ยังมีแผนพัฒนาระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ให้ทั่วถึงทุกกลุ่มผู้รับบริการและขยายประเภทของการเจ็บป่วย ตลอดจนส่งเสริมการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ทันสมัย และคุ้มค่าต่อการให้บริการมาใช้ให้แพร่หลาย และให้ความสำคัญต่อการวิจัยกับการพัฒนาของภาครัฐและภาคเอกชน เพื่อพัฒนาระบบรูปแบบและเทคโนโลยีทางการแพทย์กับการบริการสาธารณสุขอย่าง จริงจัง เพื่อยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตด้านสาธารณสุขของประชาชนชาวไทยให้ได้มาตรฐาน สากล รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนการแพทย์แผนไทย และการใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นในการแพทย์ให้เป็นมาตรฐานและให้ได้รับการรับรอง
ยกระดับ รพ.ส่งเสริมสุขภาพตำบล
ขณะ ที่อีก 3 พรรค ก็มีนโยบายด้านสาธารณสุขที่ไม่แตกต่างกันมากนัก กล่าวคือ ในส่วนของพรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน มีนโยบายสุขภาพดีทั่วไทย โรงพยาบาลทันสมัย รักษาได้ทุกโรงพยาบาล เปิดคลินิกผู้ป่วยนอกทุกตำบล และในชุมชนเมือง ส่วน พรรคชาติไทยพัฒนา มีนโยบายเข้าถึงบริการสาธารณสุขทุกระดับอย่างมีคุณภาพ และสุดท้าย พรรคภูมิใจไทย ที่มีนโยบาย ยกระดับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ภายใน 10 ปี โดยมุ่งมั่นให้เป็นโรงพยาบาลที่แพทย์ประจำ สามารถคัดกรองผู้ป่วยและให้บริการรักษาในเบื้องต้นได้ เพื่อลดการรอคิวในโรงพยาบาลขนาดใหญ่
นักวิชาการชี้ขาดรูปธรรม
แต่ปัญหาคือ นโยบายด้านสาธารณสุขต่างๆ ที่พรรคการเมืองต่างโหมกระหน่ำหาเสียงกันอยู่นั้น สามารถนำมาใช้ได้จริงหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.อัมมาร สยามวาลา นักวิชาการเกียรติคุณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) วิจารณ์ ว่านโยบายสุขภาพมี 2 ส่วน คือ 1.ส่วนที่อยู่หน้าจอ เป็นการเสนอนโยบายของพรรคการเมือง ประชาชนแตะต้องได้ และ 2.ส่วนที่อยู่หลังจอ เป็นกลไกการผลักดันนโยบายโดยพรรคการเมืองช่วงเลือกตั้งจะทุ่มน้ำหนักที่หน้า จอ เมื่อได้รับเลือกตั้งจะเข้าไปจัดการทุกอย่างให้เป็นไปตามนโยบายที่เสนอ ส่วนจะดีหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“อย่างเช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค นับเป็นนโยบายยอดเยี่ยมที่สุด ให้สิทธิการรักษาแก่ประชาชนโดยไม่ต้องกังวลค่ารักษาแต่งบประมาณที่ลงไปนั้น จะพอหรือไม่รวมไปถึงการขยายการบริการเพื่อรองรับผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกับการขยายบริการปฐมภูมิของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่ผ่านมา ในนโยบายโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ( รพ.สต.) ยังเป็นแค่การเปลี่ยนป้ายชื่อเท่านั้น เพราะการพัฒนาปฐมภูมิของจริงต้องใช้เวลา หากจะมีหมอประจำทุกแห่ง ต้องเพิ่มหมอประมาณ 10,000 คน และรัฐบาลต้องมีคำมั่นสัญญาว่าจะผลิตหมอเพิ่ม” ศ.อัมมาร กล่าวและว่า ขณะนี้ปัญหาการให้บริการระหว่างกองทุนรักษาพยาบาลเริ่มดีแล้ว เพราะรัฐบาลเกลี่ยผู้มีสิทธิ เกลี่ยงบประมาณใน 3 กองทุนดีแล้ว เพียงแต่การลดสวัสดิการข้าราชการยังไม่มีใครพูดถึง โดยเฉพาะในช่วงเลือกตั้ง
ศ.อัม มาร เสนอแนะว่า รัฐบาลจะต้องลงทุนในสถานบริการมากกว่าปัจจุบัน เพราะสภาพของการให้บริการในปัจจุบันแย่มาก รวมถึงการแก้ไขปัญหาเงินเดือนของบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อดึงให้อยู่ในระบบสำหรับรองรับการให้บริการ
“อยากเห็นพรรค การเมืองให้สัญญาว่า เมื่อประชาชนไปหาหมอ หมอจะมีเวลาตรวจผู้ป่วยอย่างน้อยคนละ 15 นาที เพราะขณะนี้ยังเป็นแค่การเข้าถึงสถานพยาบาล รอตรวจ และพบหมอไม่ถึง 5 นาทีนอกจากนี้สิ่งที่พรรคการเมืองต้องนำไปคิด คือจะวางเงื่อนไขอย่างไร รวมถึงสื่อสารอย่างไรเพื่อดึงให้ประชาชนหันไปใช้บริการในสถานพยาบาลปฐมภูมิ มากขึ้น เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล เช่น การใช้เวลาหาหมอไม่เกิน 1 ชั่วโมง” ศ.อัมมาร กล่าว
แนะใช้ 2 ส.บริหารจัดการ
ด้าน นพ.อำพล จินดาวัฒนะ เลขาธิการสำนักงานสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า เท่าที่ดูนโยบายพรรคการเมืองเห็นว่ายังไม่ก้าวข้าม เพราะยังพูดแค่การแก้ไขที่ปลายเหตุ เน้นการรักษาพยาบาล ไม่ใช่การแก้ที่ต้นเหตุ ซึ่งในที่นี้หมายถึง การป้องกันหรือการแก้ไขปัญหานโยบายที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งนี้เห็นว่าหากพรรคการเมืองไม่ปรับทิศทาง ประเทศคงล่มสลายเพราะแม้จะทุ่มงบประมาณมากแค่ไหนคงไม่เพียงพอต่อการตามรักษา ดังนั้น การทำนโยบายพรรคการเมืองจึงควรมี 2 ส.คือ 1.สายตาที่กว้าง มองเรื่องสุขภาพมากกว่าการซ่อมสุขภาพเกินกว่าคำว่ากองทุน และเกินกว่างานภายในกระทรวงสาธารณสุข และไปเน้นที่แก้ปัญหาขาดงบ ขาดหมอ และ 2.สายตาที่มองไกล ในการกล้าปักธงนโยบาลที่มีผลดีต่อประชาชน แม้ว่าต้องใช้ 10-20 ปี จึงเห็นผล อย่างเช่น นโยบาลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ใช่ทำแค่นโยบาลหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ไม่ใช่ทำแค่นโยบายประชานิยม หรือนโยบายการจ่ายค่าตอบแทนอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน(อสม.) ที่แม้จะเห็นผลเร็วแต่ทำประเทศเสียหาย เสียโอกาส
“ยังไม่เห็น พรรคการเมืองไหนประกาศนโยบายสร้างนำซ่อมเพื่อทำให้คนไทยสุขภาพดี ไม่ใช่สุขภาพเสีย ไม่ทำให้คนตายอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วยเพิ่มขึ้น ซึ่งพรรคการเมืองควรประกาศนโยบายว่า จะให้ความสำคัญด้านสุขภาพ”นพ.อำ พล กล่าวและว่า ในฐานะที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีโอกาสบริหารประเทศมาแล้ว ยังไม่เห็นความชัดเจนว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเดินหน้าต่อในการสร้างนโยบาย สาธารณะเพื่อสุขภาพจากการมีส่วนร่วมหรือไม่ และยังขาดความชัดเจนในนโยบายกระจายอำนาจ
ส่วน นพ.สัมฤทธิ์ ศรีธำรงสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานวิจัยเพื่อการพัฒนาหลักประกันสุขภาพไทย (สวปก.) กล่าวว่า นโยบายภาพรวมที่พรรคการเมืองเสนอเท่าที่เห็นไม่ แตกต่างกันมาก ยังไม่เห็นสิ่งเป็นรูปธรรมที่ทำให้มั่นใจว่าจะนำนโยบายเหล่านี้สู่ความ สำเร็จได้อย่างไร
“มองว่านโยบายที่ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้ รับประโยชน์และแก้ปัญหาความขัดแย้งคือการลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งมี 2 ด้านหลักๆ คือ ความเหลื่อมล้ำด้านกองทุนสุขภาพที่ข้าราชการได้สิทธิมากกว่ากองทุนอื่น และความเหลื่อมล้ำระหว่างเขตเมืองและชนบทในการเข้าถึงการรักษาหากแก้ไขปัญหา ความเหลื่อมล้ำในประเด็นหลังนี้จะลดความขัดแย้งได้มากกว่า โดยเร่งพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิซึ่งนโยบาย รพ.สต. เป็นส่วนหนึ่ง ที่ผ่านมาอาจจะเป็นเพราะต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จึงเน้นไปที่การเปลี่ยนป้าย ทั้งๆที่จุดสำคัญอยู่ที่กำลังคนนอกจากนี้ยังต้องการเห็นนโยบายพรรคการเมือง ที่ส่งผลต่อการพัฒนาสาธารณสุขเช่น ควรปฎิรูปโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ยังทำให้การบริหารจัดการมีปัญหา เป็นต้น"
มาตามดู กันต่อไปว่า หลังวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ พรรคใดจะได้มีโอกาสได้เข้ามาบริหารประเทศ และนโยบายของพรรคใดจะสามารถทำได้อย่างเป็นรูปธรรม!