- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- อิทธิพลเสื้อแดงในเกมการเลือกตั้ง
อิทธิพลเสื้อแดงในเกมการเลือกตั้ง
ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือตอนบนเห็นตรงกันว่า กระแสพรรคเพื่อไทยที่แรงนั้นมีปัจจัยสนับสนุนจากความเป็นพรรคของคนเหนือ ซึ่งชาวบ้านบางคนบอกว่า คนเหนือไม่เลือกพรรคของคนเหนือได้อย่างไร
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยของพ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีส่วนช่วยสนับสนุนอยู่มากเพราะเกมในพื้นที่เลือกตั้งที่มีกระแสแยกพรรค และแยกคนได้สำเร็จนั้น แกนนำพรรคเพื่อไทยก็ลงไปแก้ในทำนองว่าหากไม่เลือกผู้สมัครพรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้กลับบ้าน ขอให้เลือกทั้งคนทั้งพรรค หรือถ้ากาเลือกพรรคใบเดียวจะเป็นบัตรเสียต้องเลือกทั้งสองใบ
และปัจจัย สุดท้ายคือ กระเสื้อแดงที่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้พรรคเพื่อไทยและ ผู้สมัค ส.ส.เขตมีฐานสนับสนุนเหนือกว่าผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นๆ
การใช้คนเสื้อแดงสร้างกระแสสนับสนุนพรรคเพื่อไทยทั้งทางตรงทางอ้อมนั้น ไม่ว่าคนเสื้อแดงสร้างเวทีคู่ขนานหรือเลือกสนับสนุนอย่างเปิดเผยได้ส่งผลทางการเมืองในแต่ละจังหวัดอย่างลึกซึ่ง
ด้านหนึ่งทำให้ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยและผู้สนับสนุนมีความฮึกเหิม ไม่เกรงกลัวใครในจังหวัดนั้น เพราะมีสื่อในชุมชน มีรถรถกระจายเสียงก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนเป็นพลังทางการเมือง
อีกด้านหนึ่ง การเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงทำให้ผู้สมัครจากพรรคการเมืองอื่นๆเกิดความกลัว ผู้สนับสนุนไม่กล้าแสดงตัวออกมา
จากการสอบถามนักธุรกิจในจังหวัดแพร่ที่เห็นว่า การเมืองในแพร่ไม่มีทางเลือกให้ประชาชนเพราะมีแค่ตระกูลเอื้ออภิญญากุล ของนายวรวัจน์ จากพรรคเพื่อไทยและตระกูล ศุภศิริ ของกลุ่มแม่เลี้ยงติ๊ก ศิริวรรณ ปราศจากศรัตรูจากพรรคประชาธิปัตย์ เท่านั้น
ทั้งที่จังหวัดแพร่มีบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถอีกจำนวนมากและมีผู้สนับสนุนให้ลงเลือกตั้งแต่สุดท้ยกลัวการเปลืองตัวและไม่ต้องการทะเลาะกับพวกเสื้อแดง
แม้กระทั่งนายนิยม วิวรรธนดิฐกุล ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยก่อนจะลงสมัครต้องไปกราบขอโทษแกนนำเสื้อแดงเพราะก่อน หน้านั้นนายนิยมได้แสดงตัวจะไปอยู่พรรคภูมิใจไทย แต่เมื่อยังอยู่พรรคเพื่อไทยก็ต้องขอโทษคนเสื้อแดงในแพร่
ที่น่าทึ่ง ยิ่งกว่านั้นหากนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด( อบจ.)แพร่นายอนุวัตร วงศ์วรรณ เมื่อเดินทางไปช่วยผู้สมัครเขตเลือกตั้งที่ 2 นายนิยม ก็จะเปลี่ยนเสื้อเป็นสีแดง หากไปเขตเลือกตั้งที่ 1 ซึ่งนายอนุวัตรที่สนับสนุนพรรคภูมิใจไทยก็เปลี่ยนเป็นเสื้อสีน้ำเงิน
“ในภาคเหนือคนเสื้อแดงเหมือนสังคมสังคมหนึ่ง ไปที่ไหนก็เป็นเพื่อไทยไปหมด คนไม่เลือกเพื่อไทยอยู่ในหมู่บ้านก็อึดอัด ชาวบ้านเขารังเกียจ “ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุลผู้สมัครพรรคเพื่อไทย เขต 3 อธิบายด้วยความมั่นใจ ดังนั้น ความกลัวเสื้อแดงในจังหวัดแพร่มีอยู่ทั่วไป แต่ก็มีชาวบ้านจำนวนมากเช่นกัน ไม่กลัวแต่ไม่ยากเข้าไปยุ่งด้วยเพราะเลือกที่มีชีวิตอย่างสงบ
ในขณะที่ในจังหวัดพะเยากลุ่มเสื้อแดงตั้งเวทีประชาธิปไตยเกือบทุกวัน ผู้ที่นับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่กล้าแสดงตัว แม้ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ลงไปหาเสียง น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูลผู้สมัครเขต 1 ต้องการให้ชาวบ้านที่ได้รับประโยชน์จากโฉนดชุมชนและประกันรายได้สินค้าเกษตร ไปขอบคุณนายกรัฐมนตรีก็ไม่มีใครกล้าไปเพราะกลัวเสื้อแดงรู้และมารบกวนภาย หลัง
หรือจากการพูดคุยกับแกนนำในสหกรณ์การเกษตรหลายๆแห่งในพะเยาเห็นด้วยกับนโยบายประกันสินค้าเกษตรแต่ก็ไม่กล้าแสดงตัว
อย่างไรก็ตามต้องให้ความเป็นธรรมกับคนเสื้อแดงในพะเยาที่ไม่นิยมความรุนแรงหรือยกพลไปข่มขู่คุกคามแต่คนอีกจำนวนมากก็ไม่มีใครไปยุ่งเกี่ยวด้วยถามลึกๆก็ได้คำ ตอบว่า กลัวบ้างหรือไม่การความรำคาญบ้าง
แต่จากการพูดคุยกับผู้สมัครพรรคการเมืองหลายๆพรรคในจังหวัดพะเยา ซึ่งเป็นกลุ่มผู้สมัครที่มี่กำลังคน หรือฐานะสนับสนุนในโครงสร้างราชการ และการเมืองท้องถิ่นที่มากเพียงพอ กลุ่มผู้สมัครเหล่านี้เห็นตรงกันว่า”คนเสื้อแดง ได้สร้างอิทธิพล สร้างความกลัวให้กับชาวบ้านจำนวนมาก
ขณะที่พวกเลือกแดงไม่กลัวเจ้าพ่อ เจ้าแม่ ไม่กลัวผู้ว่าราชการจังหวัด กำนันผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้พวกนี้คือเจ้าพ่อ เจ้าแม่คนใหม่ในสนามเลือกตั้ง แม้ว่าพวกเขาไม่ใช่ความรุนแรงก็ตาม “ น.ส.มัลลิกา บุญมีตระกูล อธิบายอิทธิพลเสื้อแดงในการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตามในจังหวัดเชียงรายนั้น มีความแตกต่างกันไป เหตุผลเพราะกลุ่มผู้สมัครในจังหวัดเชียงรายของพรรคเพื่อไทยไม่มีใครแสดงตัว ช่วยเหลือเสื้อแดงตอนการชุมนุมอย่างเปิดเผย เอาการเอางาน ทำให้เสื้อแดงถูกใช้เป็นตัวช่วยผู้สมัครของเพื่อไทยในเชียงรายได้ไม่มากหนัก เว้นแต่การมีธงสีแดงไปปักไว้หรือมีการชูป้ายสีแดงเชียร์อยู่บ้าง
นอกจากนี้ยังเป็นเงื่อนไขของกลุ่มผู้สมัครพรรคเพื่อไทยอย่างชัดเจนว่า”เสื้อแดงจะ ทำอะไรก็ทำไป ขออย่ามายุ่งในเวทีเลือกตั้งให้เป็นหน้าที่ของผู้สมัครไป “นายสามารถ แก้วมีชัยผู้สมัครเขต 1 พรรคเพื่อไทยกล่าว
แต่จาการสอบถามกลุ่มเสื้อแดงอาจจะแสดงตัวบ้างในการช่วยพรรคเพื่อไทยแต่ระดับความเข็มข้นอาจไม่มีมากหนัก
ยกเว้นเขตเลือกตั้งที่ 5 อ.ฝางและแม่อายเป็นการแข่งขันกันระห่างหมอไกร ดาบธรรมจากพรรคชาติไทยพัฒนาและพรรคเพื่อ แดง อ.ฝางใช้ทั้งวิทยุชุมชนและมีการปักธงแดงเต็มพื้นที่ทั้ง 2 อำเภอแต่ชาวบ้านได้ออกมาให้กำลังใจหมอไกรมากมายเช่นกัน
หรือเขตเลือกตั้งที่ 9 จอมทอง ดอยหล่อยก็ใช้เสื้อแดงนำหน้าในการหาเสียง ปักธงแดง ไปทั่วเขตเลือกตั้งเช่นกัน
กล่าวสำหรับเสื้อแดงในเชียงใหม่ ซึ่งมีหลายกลุ่ม ทำให้ขาดเอกภาพในการเคลื่อนไหว แต่ภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดงก็ยังคงสร้างความหวาดกลัวให้กับคนทั่วไปอยู่มากเช่นกัน
จากการพูดคุยกับสมาชิกหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ บอกว่า ในหอการค้าเชียงใหม่มีการห้ามไม่ให้สมาชิกพูดเรื่องการเมืองเพราะกลัวจะมีความแตกแยกกัน และหากหอการค้าแสดงตัวอย่างชัดเจนก็อาจทำให้เกิดปัญหาได้
ทั้งที่พวกเขารู้ว่าหากตัดสินผิดพลาดในการเลือกตั้งครั้งนี้จะส่งผลกระทบในด้านเศรษฐกิจอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่กล้าที่แสดงออกทางการเมืองเนื่องจากความกลัวเช่นกัน
ต่างกับสมาชิกหอการค้าจังหวัดอุตรดิตย์ บอกว่า คนอุตรดิตถ์บางส่วนอาจเลือกเพื่อไทย แต่มีอีกจำนวนมากไม่เลือกพรรคเพื่อไทยแน่เพราะกลัวความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นมาอีก
แต่สำหรับส.ส.เขตชาวบ้านเขาต้องการเปลี่ยนโดยไม่ต้องการผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย แม้ว่าจะมีคนเสื้อแดงจะเข็มแข็งแต่คนเขาไม่กลัวเขาต้องการเปลี่ยน ส.ส.
ดังนั้นในภาพรวมแม้ว่าคนเสื้อแดงในภาคเหนือตอนบนไม่มีภาพของความรุนแรงแต่ก็ได้ สร้างกระแสและอิทธิพลที่มีผลต่อการตัดสินใจการเลือกตั้งได้โดยทั่วไปบวกกับ วิถีชีวิตของคนเหนือที่รักสงบไม่ต้องการเอาชีวิตเข้าไปวุ่นวายทำให้ไม่กล้า ที่จะแสดงจุดยืนทางการเมืองอย่างเปิดเผย
ยกเว้นในบางเขตเลือกตั้งที่มี ผู้สมัครเข็มแข็ง เช่น จังหวัดแพร่ นางศิริวรรณ ปราศจากศัตรู ผู้สมัครบัญชีรายชื่พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่กลัวคู่ต่อสู้อีกฝ่าย
หรือความบ้าบิ่นของน.ส. มัลลิกา บุญมีตระกูล ประชาธิปัตย์ เขต 1 พะเยา รวมทั้งกลุ่มของนายไพรัช ตันบรรจง นายกอบจ. พะเยาที่ส่งนายอนุวัตร ตันบรรจง ลูกชายลงพรรคภูมิใจไทยก็ไม่กลัวเสื้อแดงก็ยังยืนสู้ในพื้นที่ได้
หรือตระกูลจงสุธทณามณี แลวันไชยธนวงศ์ ที่เชียงราย ก็ยืนแลกหมัดกับผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยได้อย่างถึงพรึกถึงขิงเช่นกัน
อย่างไร จากการเดินทางสัมผัสการเมืองในภาคเหนือตอนบน เป็นข้อสังเกตุได้ว่า กรณีที่พรรคเพื่อไทยที่มีคนเสื้อแดงเป็นฐานมวลชนและเคลื่อนไหวทางการเมือง ร่วมกันในการเลือกตั้งครั้งนี้ทั้งในรูปแบบเวทีประชาธิปไตยหรือ ตรวจสอบการโกงเลือกตั้งนั้น ประสบผลสำเร็จทางการเมืองอย่างดียิ่ง และเป็นการลงทุนทางการเมืองที่ถูกมากของพรรคเพื่อไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เงินซื้อเสียงให้กับผู้สมัครซึ่งบางเขตเลือกตั้งอาจจะใช้เงินสูงถึง 30 ล้านบาทหากซื้อกันหัวละ 300 บาทต่อคน
ดังนั้นการลงทุนและการใช้กลุ่มคนเสื้อแดงสร้างกระแสทางการเมืองได้ในแต่ละเขตเลือกตั้งนั้นประสบความสำเร็จ เมื่อบวกกับวิถีชีวิตของคนเหนือที่ต้องการความสงบก็ได้ส่งผลให้กระแสพรรค เพื่อไทยไหลบ่าในภาคเหนือ
นายอรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ให้ความเห็นว่า ตราบใดที่ประชาชนยอมเป็นสาวกพรรคการเมือง เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างโดยไม่ตั้งคำถามก็จะเป็นอันตรายกับประชาธิปไตยไทยเช่นกัน
อย่างไรก็ตามการสร้างความกลัวหรือการขู่คุกคามอาจทำให้การตัดสินใจของประชาชนที่จะใชั้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้ขาดข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผล และอาจจะขาดเสรีภาพในการเลือกเพราะหลายสนามเลือกตั้งประชาชนถูกกดทับด้วย อิทธิพลบางอย่างจนเป็นความกลัวนี้คือความน่าห่วงว่าการเลือกตั้งเสรีอาจไม่มีในประเทศไทย