- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- "แรงงาน"ขีดเส้น 300 บาท ต้นปี 55 ต้องมีคำตอบ
"แรงงาน"ขีดเส้น 300 บาท ต้นปี 55 ต้องมีคำตอบ
ยัง ไม่ทันตั้งรัฐบาล แต่ดูเหมือนว่า พรรคเพื่อไทยจะออกสตาร์ทได้ไม่ดีนักกับคำอธิบายต่อสังคม ถึงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ รวมถึงนโยบายจบปริญญาตรีมีเงินเดือน 15,000 บาท โดยเฉพาะเมื่อถูกไล่บี้จากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) ทั้งที่ผ่านการเลือกตั้งมาด้วยเสียงถล่มทลาย
โดยเฉพาะจากถ้อยคำของทีมเศรษฐกิจอย่าง “ปลอดประสพ สุรัสวดี” ที่ออกมาลดกระแสต่อต้านของนักธุรกิจด้วยการอธิบายว่า “การขึ้นค่าแรง 300 บาท เป็นเพียงนโยบายหาเสียงเท่านั้น อาจจะทำไม่จริงก็ได้”
ประเด็น นี้แทนที่จะทำให้บรรยากาศดี แต่ตรงกันข้ามกระแสยิ่งแย่ไปอีกเมื่อตัวแทนจากลูกจ้างส่งเสียงยี้ เพราะเห็นว่า พรรคการเมืองฟังเสียงนายจ้างมากกว่าลูกจ้าง โดย “ชาลี ลอยสูงเนิน” ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย ที่เป็นตัวแทนของกลุ่มผู้ใช้แรงงานนับล้านส่งเสียงบอกว่า กลุ่มผู้ใช้แรงงานมีความหวังกับรัฐบาลใหม่ค่อนข้างมาก หากพรรคเพื่อไทยสามารถตั้งรัฐบาลได้ ก็จะถือเป็นพรรคการเมืองที่มีเสียงข้างมาก ถือเป็นคะแนนเสียงที่ทำให้มีอำนาจค่อนข้างเบ็ดเสร็จและจะสามารถดำเนินนโยบาย ตามที่ประกาศไว้ทุกนโยบาย
“ตอนนี้ค่าครองชีพในตัวเมืองใหญ่ๆ หรือในหลายเมืองมีราคาสูงเกิน 300 บาทต่อวันด้วยซ้ำ การที่สภาอุตสาหกรรมฯ ไม่เห็นด้วยกับนโยบาย นี้ ผมมองว่ามีเหตุไม่ชอบมาพากล เพราะพรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายนี้ก่อนการเลือกตั้งด้วยซ้ำ แต่ภาคธุรกิจกลับไม่ต่อต้าน แสดงว่ายอมรับนโยบายนี้ ซึ่งการที่ออกมาต่อต้านตอนนี้ก็เป็นเรื่องน่าสงสัยว่า ก่อนหน้านี้ยอมรับ โดยสาเหตุที่ยอมรับแสดงว่าก่อนการเลือกตั้งภาคธุรกิจมองว่าพรรคเพื่อไทยชนะ การเลือกตั้งแน่ๆ จึงไม่ต่อต้าน แต่จะมาต่อต้านตอนนี้ก็สายเสียแล้ว เพราะประชาชนได้เลือกตัวแทนของเขาเข้ามาแล้ว”นายชาลี กล่าวด้วยเสียงเข้ม
ตัว แทนกลุ่มผู้ใช้แรงงานรายนี้ยังกล่าวอีกว่า สำหรับข้ออ้างของภาคธุรกิจที่บอกว่า หากเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำก็จะกระทบกับภาคธุรกิจและจะทำให้มีการเลิกจ้างแรงงาน ที่มีราคาสูงนั้น เรื่องนี้เป็นเพียงการตีปลาหน้าไซของภาคธุรกิจเท่านั้น โดยจะเห็นได้จากเหตุการณ์ในช่วงปีที่ผ่านมาที่ตัวแทนนักธุรกิจออกมาประกาศ ว่า หากมีการเพิ่มค่าแรงจะทำให้มีการเลิกจ้างจำนวนมาก ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเพียงกลยุทธ์ของภาคธุรกิจที่ไม่ต้องการให้กำไรของบริษัทหดหายจากการ ขึ้นค่าแรงจึงได้ออกมาประโคมข่าวเพื่อให้รัฐบาลเกิดความกลัว “ใน เมื่อพรรคเพื่อไทยกล้าประกาศนโยบายที่หักกับภาคธุรกิจด้วยการต้องการสร้าง คุณภาพชีวิตใหม่ให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงาน พวกเราก็จะไม่ใจไม้ไส้ระกำกับรัฐบาลใหม่อย่างแน่นอน โดยจะให้โอกาสและเวลากับพรรคเพื่อไทยไปก่อนและต้องใช้เวลาดูใจกันอีกสักระยะ ว่าจะอยู่ได้หรือไม่ได้ พวกเราจะให้เวลาถึงปลายปีหรือต้นเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งเป็นเวลาในการปรับขึ้นค่าแรงตามปกติ หากไม่ยอมดำเนินนโยบายตามที่ประกาศไว้ก็เท่ากับว่าเป็นการหลอกลวงกลุ่มผู้ ใช้แรงงาน ถ้าตอนนั้นนโยบายที่ประกาศไว้ไม่มีการผลักดันเราก็จะมีมาตรการเด็ดขาด ตอนนี้เรามีสมาชิกกว่า 2-3 ล้านคนที่รอคอยความหวังว่า รัฐบาลใหม่จะเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตของเขา แต่ถ้าไม่ได้อย่างที่หวังก็ขอให้รัฐบาลประเมินดูว่า จะเกิดอะไรขึ้น”นายชาลี กล่าว
ด้าน น.ส.จิตรา คชเดช อดีตประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ ผู้ชูป้าย “ดีแต่พูด” ในช่วงที่ฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คะแนนนิยมลดต่ำ แสดงความมั่นใจว่า พรรคเพื่อไทยจะทำนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศ ได้เพราะค่าจ้างจำนวนนี้ไม่ได้มากจนเกินไปหรืออาจจะน้อยกว่าค่าแรงของกลุ่ม คนงานก่อสร้างด้วยซ้ำไป
เธอบอกว่า หากรัฐบาลใหม่ต้องการทำจริงก็สามารถทำได้และไม่รู้สึกแปลกใจกับท่าทีของนาย ทุนที่ออกมาคัดค้านการปรับค่าแรง เพราะนโยบายนี้จะส่งผลกระทบต่อผลกำไรของภาคธุรกิจ ทั้งนี้มองว่า หากปรับขึ้นค่าแรงแล้วนายจ้างก็จะหาวิธีการที่เอาเปรียบลูกจ้างด้วยการเพิ่ม เนื้องานเพื่อให้คุ้มกับค่าแรงที่เขาจ่ายเพิ่มขึ้นและถือว่าลูกจ้างไม่ได้ ประโยชน์จากการขึ้นค่าแรงเสียทีเดียว
“การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เป็น 300 บาททั่วประเทศ ไม่ได้ทำให้คุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ใช้แรงงานดีขึ้นมากมายและไม่ได้ทำให้กำไร ของภาคธุรกิจหายไปมากนัก หากบอกว่า ผลกำไรหายเป็นเพราะนำเงินส่วนหนึ่งมาจ่ายเป็นค่าแรงให้กับแรงงานก็อยากจะขอ ท้าให้บริษัทเหล่านั้นนำผลประกอบการมาเปิดเผยต่อสาธารณะว่า ความจริงบริษัทเหล่านั้นมีผลกำไรมากแค่ไหนและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเกิดขึ้นจากการขึ้นค่าแรงกี่เปอร์เซ็นต์”ตัวแทนผู้ใช้แรงงานรายนี้กล่าว
เธอ ยังกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาบริษัทเอกชนไม่เคยปรับขึ้นค่าแรงตามสภาพความเป็นจริงของเงินเฟ้อ โดยบางบริษัทก็เอาเปรียบพนักงานด้วยการจ้างงานด้วยอัตราค่าแรงขั้นต่ำทั้ง ที่บางคนมีอายุการทำงาน 20-30 ปี หากรัฐบาลต้องการจะยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้ใช้แรงงานจริงควรปรับโครง สร้างการจ้างงานด้วย
เธอยังเห็นด้วยกับแนวคิดที่พรรคเพื่อไทยออก มาระบุว่า หากภาคธุรกิจยอมให้มีการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศก็จะมีมาตรการโน้มน้าวนักลงทุนด้วยการลดการจัดเก็บภาษี นิติบุคคลจาก 30 เปอร์เซ็นต์ให้น้อยลงว่า ที่ผ่านมาประเทศชาติสูญเสียงบประมาณจำนวนมากเพื่อเรียกนักลงทุนต่างชาติเข้า มาลงทุนในประเทศและเงินก็เข้ากระเป๋านักลงทุนเป็นจำนวนมาก อยากจะถามเป็นการดีกว่าหรือไม่ หากการปรับเพิ่มค่าแรงครั้งนี้จะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ดี ขึ้น
“ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์บริหารประเทศล้มเหลวมาพอแล้ว จึงไม่อยากให้รัฐบาลที่เข้ามาใหม่เดินตามรอยและอยากให้โอกาสอย่างไม่กำหนด เวลา เนื่องจากเห็นว่า การก่อตัวของรัฐบาลชุดใหม่ค่อนข้างจะมีปัญหา เพราะจนป่านนี้ก็ยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ ดังนั้นอยากกระตุ้นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ทำหน้าที่อย่างถูกต้องเป็นธรรมและรับรองส.ส.เข้ามาในสภาก่อน ส่วนตัวจึงไม่อยากตั้งฉายาให้รัฐบาลชุดนี้ เพราะอยากให้โอกาสกับทุกฝ่าย” น.ส.จิตรา กล่าว
ไม่เพียงแต่ตัวแทนกลุ่มผู้ใช้แรงงานแสดงความคิดเห็นและแสดงความห่วงใยต่อนโยบายด้านแรงงานเท่านั้น โดย ศาสตราภิชานแล ดิลกวิทยารัตน์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แสดง ความเห็นว่า ตามกระบวนการการจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะต้องผ่านคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งถ้าปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการตัวแทนจากนายจ้างอาจจะไม่ยอม เพราะเท่ากับว่าเขาเสียผลประโยชน์ ดังนั้นรัฐจะต้องแก้กฎหมายที่ว่าด้วยคณะกรรมการไตรภาคี ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
“ระหว่างรอกฎหมายที่จะแก้ไขปัญหาการ ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่เป็นธรรม รัฐบาลสามารถขับเคลื่อนนโยบายการปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำด้วยการตั้งคณะ กรรมการกองทุนชดเชยขึ้นมา โดยเทียบเคียงกับแนวทางแก้ไขของกองทุนประกันสังคมที่ก่อนหน้านี้เคยมีการ เรียกร้องให้มีการลาคลอดจาก 45 วันเป็น 90 วัน แต่มีการคัดค้านจากฝั่งนายจ้าง ซึ่งท้ายสุดรัฐบาลก็ตั้งกองทุนขึ้นมาชดเชยและสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ คราวนี้ก็เช่นเดียวกัน หากรัฐบาลมีความจริงใจที่จะแก้ไขปัญหาคุณภาพชีวิตของกลุ่มผู้แรงงานจริงๆ แนวทางนี้ก็จะทำให้ง่ายขึ้น”นักวิชาการด้านแรงงานผู้นี้เสนอทางออก
อาจารย์ แล กล่าวว่า แนวทางที่เสนอไปนั้นถือเป็นมาตรการชั่วคราว แต่ระยะยาวก็อาจจะผลักดันให้เกิดกลไกที่ภาคนายจ้างหรือผู้ประกอบการให้ผลตอบ แทนที่เป็นธรรมกับแรงงาน หากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว ถือว่ากลุ่มผู้ใช้แรงงานในประเทศไทยได้รับค่าจ้างที่ต่ำมาก โดยอาจเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว ค่าแรงของพนักงานถือเป็นร้อยละ 20 ของต้นทุนการผลิต แต่สำหรับประเทศไทยมีต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการจ่ายค่าแรงเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น
“หลาย สิบปีที่ผ่านมาแรงงานไทยได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในอัตราที่ต่ำมาก นั่นจึงเป็นเหตุผลให้แรงงานส่วนใหญ่ต้องทำโอทีเพิ่มเป็นวันละ 2-4 ชั่วโมงเพื่อมีรายได้เพียงพอกับค่าใช้จ่าย การทำโอทีไม่เพียงทำให้เวลาที่พนักงานควรมีให้ครอบครัวหายไป ตรงกันข้ามยังทำให้สุขภาพของผู้ใช้แรงงานย่ำแย่ลงไปด้วย” อาจารย์แล กล่าว
นัก วิชาการผู้นี้ยังกล่าวถึงความกังวลที่ว่า การปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจะทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อว่า ไม่เป็นความจริง เพราะการขึ้นค่าแรงไม่ได้ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นมากนัก แต่การจะปรับขึ้นสินค้าถือเป็นการฉวยโอกาส เหมือนกับที่หลายครั้งที่ผ่านมา เมื่อมีการประกาศขึ้นเงินเดือนข้าราชการ ผู้ประกอบการก็ฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า ทั้งที่ไม่เกี่ยวกันเลย ดังนั้นเรื่องนี้จึงอยู่ที่ความสามารถของรัฐบาลในการจัดการและต้องควบคุมไม่ ให้เกิดบรรยากาศที่เคยเกิดขึ้น
“สิ่งที่ผมเป็นห่วงรัฐบาลก็คือ รัฐบาลประกาศนโยบายนี้มาแล้ว ไม่ควรบอกว่าทำไม่ได้ เพราะเป็นเพียงนโยบายที่ใช้หาเสียงเท่านั้น โดยอยากจะเตือนคนของรัฐบาลว่า ก่อนจะพูดอะไรควรคิดให้ดี เพราะก่อนพูดเราจะเป็นนายคำพูด แต่หลังจากพูดคำพูดจะเป็นนายเรา ซึ่งคนที่เป็นนักการเมืองน่าจะรู้เรื่องดีก่อนที่จะเสนอเข้ามารับใช้ ประชาชน”ศาตราภิชานแล กล่าว
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ดู ท่าจะเป็นเรื่องยาวที่เป็นการบ้านและเป็นเรื่องหลักที่รัฐบาล “ยิ่งลักษณ์1” จะเข็นออกมาเพื่อเป็นหน้าเป็นตารัฐบาล เพราะหากพูดแล้วทำไม่ได้ก็ถูกต้องฉายา “พูดแล้วไม่ทำ” ก็เป็นได้