- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- “เห่อของนอก” ....โรคเรื้อรังในสังคมไทย ?
“เห่อของนอก” ....โรคเรื้อรังในสังคมไทย ?
กระแสความนิยมของนอกที่ฮอตฮิตอยู่ในสังคมไทยขณะนี้ สะท้อนชัดเจนถึงแนวคิดบริโภคนิยมที่เป็นไปอย่างเข้มข้น แทรกซึมทั่วทุกหนแห่ง กระทั่งปัจจุบันเมื่อพูดถึงคนรุ่นใหม่ จึงมีทั้งคำถาม และการตั้งข้อสังเกต ทำไมพวกเขาและเธอเหล่านั้น ถึงชอบใช้สินค้าแบรนด์เนม พูดไทยคำอังกฤษคำมากขนาดนี้
ทว่า ข้อสังเกตดังกล่าวอาจเป็นการด่วนตัดสินเกินไปหรือไม่ หรือเป็นเพียงคำพูดง่ายๆ ของผู้ใหญ่ที่ใช้ดุด่าเด็กๆ โดยไม่พยายามทำความเข้าใจปรากฏการณ์เลย
เพราะหากทวนเข็มนาฬิกา ย้อนเวลากลับไปในอดีต เราจะรู้ทันทีว่า นิสัย 'เห่อของนอก' ของคนไทย มีที่มาที่ไปอย่างไร
“เห่อของนอก” โรคเรื้อรังในสังคมไทย
ต้นเดือนที่ผ่านมา มิวเซียมสยาม หรือสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ร่วมกับกรมศุลกากร กระทรวงการคลัง จัดนิทรรศการ ปรากฎการณ์อินเทรนด์ไม่เว้นวรรค (XENOMANIA-Siam’s Fascination with the Foreign) ขึ้น ณ มิวเซียมสยาม โดยหยิบเรื่องราวการบริโภคของคนไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมาบอกเล่าต่อสาธารณชน
นายราเมน พรมหมเย็น ผู้อำนวยการสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ เล่าถึงกระแสนิยม “ของนอก” ว่า เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่สยามพัฒนามา โดยกระแสดังกล่าวมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามวัฒนธรรมของชาติที่มีอิทธิพลในขณะนั้น อาทิ ยุคก่อร่างสร้างเมืองเกิดกระแส “เห่อของแขก” หรืออินเดีย ซึ่งช่วงนั้นสยามรับเอาลัทธิฮินดู การปกครองแบบเทวราชาเข้ามา
ต่อมายุคสุโขทัยก็เกิดกระแส “เห่อของจีน” โดยเฉพาะเครื่องถ้วยชาม ที่ไม่ว่าจะล่องสำเภามาจากแดนมังกรมากเพียงใด ก็ไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการเสียสักที กระทั่งสยามถึงกับต้องเชิญช่างฝีมือชาวจีนมาช่วยฝึกสอนวิชา ปั้นเครื่องปั้นดินเผา จนเครื่องสังคโลกสยาม ก็กลายเป็นสินค้าส่งออกที่เลื่องชื่อ ซึ่งในทางกลับกัน นี่เองถือเป็นจุดเริ่มต้นของการผลิตสินค้าเลียนแบบ ที่พบเห็นกันอยู่ทุกวันนี้
เมื่อขอบโลกขยายกว้างขึ้น สมัยอยุธยา คนก็เริ่ม “เห่อขอม หรือขะแมร์” เช่น มีการหยิบยืมตัวอักษรมาใช้จารึกคัมภีร์ทางศาสนา ใช้เป็นอักขระลงยันต์ เพิ่มความขลัง
ยิ่งในช่วงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ฝรั่งเป็นผู้กุมชะตาโลก เราก็รับมือกับลัทธิล่าอาณานิคมทันที โดยสยามต้องปรับท่าทีหันมาคบค้ากับฝรั่ง เปิดประตูรับศิลปะวิทยาการ มีเครื่องมือเครื่องใช้ไฮเทคต่างๆ สั่งตรงมาจากเมืองนอก อาทิ นาฬิกา เทอร์โมมิเตอร์ กล้องจุลทรรศน์ รวมทั้งกล้องถ่ายรูป
และแม้ว่าสิ่งของดังกล่าวจะเต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอย แต่ในอีกมิติหนึ่ง มันกลายเป็นเครื่องประดับที่แสดงออกถึงความหรูหรา เช่น “นาฬิกาพก” แฟชั่นที่เห่อกันในหมู่ชนชั้นนำ พกพาติดตัวไว้เพื่อประชันกับคนอื่นๆ ซึ่งหากเทียบเคียงกับยุคนี้ คงไม่ต่างอะไรกับถือ ‘ไอแพด’
จากนั้นเมื่อ ‘พี่เบิ้ม’ สหรัฐอเมริกา ใหญ่ในเวทีโลก อาหารจานด่วนสัญชาติอเมริกัน ก็เข้ามาสนองรสนิยมกา
ร ‘กินแล้วเท่ห์’ ของหนุ่มสาวชาวกรุง ไม่ว่าจะเป็น..
ไก่ทอด ‘ท่านผู้พัน’ เบียดไก่ทอดหาดใหญ่จนตกขอบ ด้วยเพราะข้อหาไม่เทรนดี้เท่า
แฮมเบอร์เกอร์ โดนัท พิซซ่า กินแล้วไฮโซกว่า ผัดกระเพราไข่ดาว เป็นไหนๆ
เช่นเดียวกับ กาแฟอิมพอร์ตแก้วละเกินร้อยบาทที่ ‘คลู’ กว่าโอเลี้ยงถุงหิ้วถมเถ ...
หรือแม้กระทั่งเครื่องใช้ในครัว บรรดาแม่บ้านไทยต่างก็ยอมควักกระเป๋าซื้อเครื่องปั่น มาแทน "ครก" ที่ถึงคราต้องถูกปลดระวางไปโดยปริยาย
คนไทยมีพรสวรรค์เลือกรับ-ปรับแต่งอยู่ใน DNA
เพื่อขยายภาพให้ชัดเจนมากขึ้น "จิระนันท์ พิตรปรีชา" ที่ปรึกษางานประชาสัมพันธ์มิวเซียมสยาม ได้สะท้อนมุมความคิดต่อกระแส ‘เห่อของนอก’ ว่า ไม่ใช่ปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมไทย แต่เป็นอาการเรื้อรังมานาน ของโบราณหลายอย่างที่เราคิดว่าเป็น ‘เอกลักษณ์ไทย’ แท้จริงแล้วกลับเกิดขึ้นจากการเลือกรับ ปรับแต่งตาม ‘เทรนด์’
“สยามไม่ใช่ดินแดนที่อยู่โดดเดี่ยวและสร้างทุกอย่างขึ้นมาจากแผ่นดินของตนเองเท่านั้น แต่ดินแดนสยามหรือสุวรรณภูมิคือ จุดบรรจบและเส้นทางผ่านของวัฒนธรรม ไม่ว่าแขกจะมา จีนจะไป สยามก็รับวัฒนธรรมไว้หมด”
"จิระนันท์" อธิบายต่อว่า มีหลักฐานที่ บ่งบอกชัด สิ่งที่เรารับเข้ามานั้นล้วนเป็นวัตถุทางวัฒนธรรมทั้งสิ้น เพียงแต่รูปร่างหน้าตาได้ถูกปรับแต่งไปบ้าง เช่น เครื่องสังคโลกที่สยามก็อปปี้จีนได้จนเหมือน หรืออาหารไทยที่นำสูตรดั่งเดิม รวมถึงเครื่องแกงทั้งหลายจากประเทศอินเดีย อินโดนีเซียมายำรวมกันจนเป็น ‘ไทยฟู้ด’ (Thai food)
กระนั้นเมื่อเหรียญมีสองด้าน ดาบมีสองคม วัตถุทางวัฒนธรรมซึ่งมีมูลค่าเป็นสินค้า จึงสร้างปัญหาตามติดมา ไม่ว่าจะ ความหรูหรา ความฟุ่มเฟือย การเสียดุลทางการค้า รวมทั้งช่องว่างทางเศรษฐกิจระหว่างความมั่งมีกับความยากจนที่มีวัตถุเป็นตัวจับตัวแสดง
เธอยังมองด้วยว่า หากจะแยกคนสมัยก่อนกับคนสมัยนี้ออกจากกัน คงต้องย้อนกลับไปทำความเข้าใจพื้นเพความเป็นมาของเราเสียก่อน เพราะในเมื่อคนไทยมีพรสวรรค์ในการเลือกรับ ปรับแต่งอยู่ในดีเอ็นเอ ก็ต้องพิจารณาใคร่ครวญให้ดีว่า เราจะเลือกทางไหนต่อไป ที่ไม่ใช่จ้อง แต่จะปิดประตูโครมใส่คนรุ่นหลังหรือของต่างด้าวทั้งหมด
ซึ่งในทัศนะของเธอนั้นก็เชื่อว่า จุดเริ่มต้นที่สำคัญคงต้องหันกลับไปพิจารณาคำว่า “วัฒนธรรมร่วมสมัย” ที่ให้ความหมายกว้างไกลกว่าแค่วัตถุ
นอกจากนี้ เธอยังทิ้งคำถามตัวโตไว้เป็นข้อคิดด้วยว่า ที่ผ่านมาไทยเห่อแต่ของนอก ฝรั่งฮิตอะไร เราเป็นต้องเดินตาม ฉะนั้น หากจะปลุกปั่น ‘เทรนด์ไทย’ จะต้องรอให้ฝรั่งนำก่อนใช่หรือไม่ เราถึงจะกล้าอวดใครๆ ว่า เราก็เป็นหนึ่งในโลกเหมือนกัน
‘สาวกแบรนด์เนม’
สำหรับสาวกแบรนด์เนม อย่าง "เอ-ศุภชัย ศรีวิจิตร" ผู้จัดการดาราดัง ผู้ที่ชอบหิ้วกระเป๋า Hermes จนกลายเป็นโลโก้ประจำตัว มองปรากฎการณ์นิยมแบรนด์เนมว่า ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ พร้อมๆ กับไม่ปฏิเสธว่า การหิ้วกระเป๋าหรู ก็เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงรสนิยมและฐานะทางสังคมได้ระดับหนึ่ง
การเลือกใช้กระเป๋าถือยี่ห้อดังจากต่างประเทศ สนนราคาใบละไม่ต่ำกว่าแสนบาท เขาบอกว่า หากคิดคำนวณแล้ว แข็งแรงทนทาน ใช้ได้นานหลายปี การจะซื้อของนอก เห่อของนอก ที่มีคุณภาพ ทน และดีที่สุด ก็ถือว่าคุ้ม
ถึงกระนั้นคงต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า ยุคนี้สินค้าแบรนด์เนมได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความ ‘ไฮโซ’ เปรียบเป็นเครื่องยศที่บ่งบอกถึงรสนิยมและฐานะทางสังคมไปเสียแล้ว
คนจำนวนมากที่อยากมีหน้ามีตา มีตัวตนในสังคมจึงต่างยอมทุ่มทุนทรัพย์ ยอมเหนื่อยวิ่งไล่ตามเทรนด์ เพื่อแลกกับการได้มา ใครที่กระเป๋ากวง แต่อยากจะดูดี มีความมั่นใจ ก็ต้องใช้วิธีวิ่งเข้าหา ‘ของก็อป ของเลียนแบบ’ กระทั่งเกิดปรากฎการณ์ หลุยส์ประตูน้ำ กุชชี่พัฒน์พงศ์ฟีเวอร์
ซึ่งในมิตินี้เอง นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร บอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลจากความต้องการบริโภคสินค้าแบรนด์เนมที่เกินขอบเขต จนเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหัวใส ผลิตของก๊อปออกมาขายมากมาย และแน่นอนว่าสั่นสะเทือนทั้งตลาดการค้าภายในและต่างประเทศ จนท้ายที่สุดได้นำไปสู่ปัญหาละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาเช่นในปัจจุบัน
อธิบดีกรมศุลกากรยังเชื่อว่า อนาคตปัญหาการละเมิดฯ จะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น และจะเป็นประเด็นสำคัญที่มีส่งผลต่อการเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งย่อมกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจ สังคม รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศอีกไม่อาจเลี่ยงได้
‘การลอกเลียนแบบ’ ทำให้เราย่ำอยู่กับที่ ไม่รู้จักคิดพัฒนาผลิตภัณฑ์ของตนเอง และไร้ซึ่งความภูมิใจในสินค้าไทย
หรือใครจะเห็นต่างคิดว่า ความสามารถในการลอกเลียนแบบ คือภูมิปัญญาของคนไทย ยกมือขึ้น...
สำหรับนิทรรศการปรากฎการณ์อินเทรนด์ไม่เว้นวรรค (XENOMANIA-Siam’s Fascination with the Foreign) จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 กรกฎาคม-23 ตุลาคมศกนี้ ณ มิวเซียมสยาม...