- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ‘ยกเครื่องเศรษฐกิจ’ สางปัญหา ‘รวยกระจุก จนกระจาย’
‘ยกเครื่องเศรษฐกิจ’ สางปัญหา ‘รวยกระจุก จนกระจาย’
ว่ากันว่า...โครงสร้างเศรษฐกิจในปัจจุบันบิดเบี้ยว เอื้อประโยชน์ให้มือใครยาวสาวได้สาวเอาอยู่ร่ำไป จนสังคมเหลื่อมล้ำสูง เกิดสภาวะ ‘รวยกระจุก จนกระจาย’ ชนิดที่ว่า ต่อให้เปลี่ยนรัฐบาลอีกกี่ชุด ผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร คนตัวเล็กตัวน้อยก็ยังตกอยู่ในวังวนเดิม ๆ
กระนั้น แม้จะเข้าใจได้ว่า ทุกคนไม่อาจเท่าเทียมกันในเรื่องของฐานะ แต่อย่างน้อยช่องว่างทางเศรษฐกิจควรขยับเข้ามาแคบลงกว่านี้หรือไม่ เพราะยิ่งปล่อยให้ช่องว่างระหว่างชนบทกับตัวเมืองถ่างขยายมากขึ้นด้วยแล้ว ก็จะนำมาซึ่งความขัดแย้งของคนในสังคมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
การหาหนทางปรับโครงสร้างสถาบันทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ก่อนอื่นเลยต้องเข้าใจคำว่า ‘เศรษฐกิจที่เป็นธรรม’ เสียก่อน มีคำอธิบายจาก ศ.ดร.ปราณี ทินกร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตกรรมการปฏิรูป บอกว่า ‘เศรษฐกิจที่เป็นธรรม' (Economic Fairness) ขึ้นอยู่กับมุมมอง คนที่อยู่ในสังคมนิยมก็มองแบบหนึ่ง คนที่อยู่ในทุนนิยมก็มองอีกแบบหนึ่ง
หากพูดถึง ‘เศรษฐกิจที่เป็นธรรม’ ในบริบททุนนิยม ก็ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ระบบทุนนิยมทำงานผ่านปัจเจกบุคคล นิติบุคคล ดังนั้นระบบกรรมสิทธิ์เอกชนจึงมีความเข้มแข็งอย่างมาก
ก่อนจะชี้ให้เห็นว่า จะเกิดอะไรขึ้นในระบบเศรษฐกิจไทย เมื่อเดินตามระบบทุนนิยม...
"ในปี 2552 ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติต่อหัว (GNP per capita) อยู่ที่ 129,875 บาทต่อคนต่อปี ขณะที่เส้นความยากจนในปีเดียวกันอยู่ที่ 19,032 บาทต่อคนต่อปี ซึ่งหากดูตั้งแต่ปี 2531 กับปี 2552 GNP เราเติบโตสูงมาก
ถามว่า หากเราคิดว่าความเป็นธรรมคือทุกคนต้องเท่ากันหมด 129,875 บาทก็ต้องเป็นตัวตั้ง
แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่า คนไทยมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนถึง 5,000,000 คน โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน และหากจำแนกออกเป็นสาขาอาชีพ แน่นอนว่า คนจนกระจุกตัวจะอยู่ในภาคเกษตรกรรมมากที่สุด"
นั่นเป็นเพราะอัตรารายได้ขั้นต่ำในช่วงที่ผ่านมา แม้จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เอาเข้าจริงเมื่อนำรายได้ไปหักกับอัตราเงินเฟ้อ จะพบว่า อำนาจการซื้อลดลง หนำซ้ำอำนาจซื้อในขณะนี้ยังต่ำกว่าเมื่อปี 2538 เสียอีก เนื่องจากรายได้เพิ่มช้ากว่าอัตราเงินเฟ้อ
ถ้าเป็นเช่นนั้น คงไม่แปลก หากภาพความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ในปี 2550 จะปรากฏว่า ประชากรกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุด มีส่วนแบ่งของรายได้เพียง 4.41% ขณะที่ประชากรกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด มีส่วนแบ่งรายได้ถึง 54.93%
อีกทั้ง ดูความเหลื่อมล้ำผ่านเงินฝากธนาคาร จะพบว่า เจ้าของบัญชีที่มีเงินฝากเกิน 1 ล้านขึ้นไปมีจำนวนเพียง 0.1% เท่านั้น แต่กลับมีสัดส่วนมูลค่าเงินฝากถึง 40.3%
ดังนั้นแล้ว ตามกติกาของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม อาจถือว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่อาจารย์ปราณี ยืนยันว่า เศรษฐกิจทุนนิยม ไม่เคยบอกว่า ทุกคนต้องมีรายได้เท่ากัน ซึ่งส่วนตัวเองก็ไม่เคยคิดว่า ทุกคนจะมีรายได้เท่ากัน เพราะความสามารถของแต่ละคนนั้นต่างกัน
เมื่อเงื่อนไขของระบบทุนนิยมมีแนวโน้มที่จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ มีการกระจุกตัวของการถือครองทรัพย์สิน ที่ดิน และทรัพยากรธรรมชาติเพิ่มขึ้น
คำถามคือ กลไกตลาด กลไกอำนาจรัฐที่เป็นอยู่ จะทำให้เกิดเศรษฐกิจที่เป็นธรรมได้หรือไม่
ในทัศนะของ ศ.ดร.ปราณี เห็นว่า กระบวนการในกลไกตลาดต้องปรับแก้กันใหม่ ส่งเสริมให้มีการแข่งขัน ลดอำนาจการผูกขาด ปรับนโยบายที่เอียงเข้าข้างกลุ่มนายทุน รวมถึงปรับดุลอำนาจต่อรองระหว่างชนชั้นนายทุนและกลุ่มผู้ใช้แรงงาน
ขณะเดียวกัน เธอยังย้ำด้วยว่า ผลลัพธ์จากกลไกตลาดและอำนาจรัฐก็ต้องปรับปรุงเช่นกัน ทั้งมาตรการภาษี การใช้จ่ายภาครัฐ การกระจายอำนาจรัฐและงบประมาณไปสู่ท้องถิ่น ซึ่งในอนาคตงบประมาณที่ลงไปสู่ท้องถิ่นควรมีอัตรา 50% ไม่ใช่แค่ 35 % เช่นทุกวันนี้ เพื่อคนในท้องถิ่นจะได้ใช้ทรัพยากรธรรมชาติและงบประมาณเพื่อประโยชน์ของตนเองมากขึ้น นอกจากนี้ต้องมีระบบสวัสดิการเข้ามาดูแล หากไม่อยากให้ความเหลื่อมล้ำที่ถูกมองว่าไม่เป็นธรรมในขณะนี้ขยายตัวเพิ่มขึ้น
‘เทรนด์ภาษี’ ทั่วโลกเปลี่ยน ลดภาษีนิติบุคคล-เพิ่ม VAT
ขณะที่นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร สะท้อนภาพการค้า การลงทุนภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ (Globalization) ว่า วันนี้ตลาดการค้า การลงทุนอยู่ทั่วทุกมุมโลก และจุดนี้เองทำให้เทรนด์การเก็บภาษีทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
“ทุกวันนี้ประเทศต่างๆ หันมาลดภาษีเงินได้นิติบุคคล อีกทั้งยังไม่มีวี่แววว่า จะมีประเทศไหนคิดเพิ่มภาษีดังกล่าวเลย เนื่องจากกลัวว่า นักลงทุนจะหนีไปทำธุรกิจในประเทศอื่น หรือหันไปทำธุรกิจผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน”
อธิบดีกรมสรรพากร ยังชี้ว่า หากภาษีนิติบุคคลในบ้านเราหนักเกินไป ในอนาคตต้องสร้างปัญหาอย่างแน่นอน เพราะจากการสำรวจอัตราภาษีนิติบุคคลในต่างประเทศ พบว่า "ฮ่องกง" เก็บภาษีนิติบุคคลอยู่ที่ 16.5% "สิงค์โปร์ จีน ไต้หวัน" เก็บภาษีอยู่ที่ 17% เกาหลี 24% ขณะที่ "เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย" อยู่ที่ 25% ส่วนฟิลิปปินส์และไทย 30%
แล้วเราจะไปแข่งขันกับใครได้ นักลงทุนคงหนีไปตั้งรกรากในประเทศเพื่อนบ้านกันหมด ?
ทว่า หากประเทศไทยปรับลดภาษีนิติบุคคลลง รายได้จากการจัดเก็บภาษีที่ลดลง ย่อมกระทบต่องบประมาณแผ่นดิน อธิบดีกรมสรรพากร เสนอทางออกว่า "ถึงเวลาที่บ้านเราต้องปรับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม ((Value Added Tax:VAT) ให้สูงขึ้น เพราะขณะนี้ประเทศอื่นๆ อาทิ เดนมาร์กเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่ที่ 25% ฟินแลนด์ 23% เยอรมณี 19% จีน 17% อินเดีย 12.5% ศรีลังกา 12% ขณะที่อินโดนีเซีย เกาหลี ลาวเก็บอยู่ที่ 10% ส่วนประเทศไทยเก็บภาษีอยู่ที่ 7% ต่ำกว่าใครเพื่อน"
โดยเฉพาะ ที่ผ่านมาบ้านเรามักสร้างภาพหลอกตัวเอง การขึ้น VATจะทำให้คนจนเดือดร้อน อาศัยคนจนมาเป็นข้ออ้าง ทั้งที่ความจริงแล้ว คนจนเสีย VAT น้อยกว่าคนรวยมหาศาล
อธิบดีหนุ่มไฟแรง ยืนยันว่า สินค้าที่เป็นรายจ่ายของคนจน ไม่ว่าข้าวสาร เนื้อสัตว์ ปลา ค่าเช่าบ้าน ค่าโรงพยาบาล ค่าโรงเรียน ค่าขนส่ง ได้รับการยกเว้นภาษีหมดแล้ว ส่วนที่จะมีภาษีคงเหลือก็แต่เสื้อผ้าแพงๆ ถามว่า คนจนจะมีเสื้อผ้าแพงๆ สักกี่ชุด ในทางตรงกันข้าม คนรวยต่างหากที่นิยมใช้สินค้า เสื้อผ้าราคาแพง ดังนั้น ในกระแสการเปลี่ยนแปลงที่หนักหน่วง เรายิ่งต้องทำภาษีให้เป็นสากลมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เขาทิ้งท้ายด้วยว่า การมุ่งแต่ลดภาษีให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ คนไทยคงต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ กล้าออกไปลุยเมืองนอกมากขึ้น ขณะเดียวกันการลงทุนร่วมระหว่างภาครัฐและเอกชน (public-private partnership: PPP) คงต้องเดินหน้าอย่างจริง เพื่อหาเงินมาลงทุน แทนที่จะรอแต่เงินภาษีอย่างเดียว
'เงินออม' ต้องพอใช้ ยามเกษียณ
นอกจากการหารายได้ การใช้จ่ายแล้ว สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้ผู้คนมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ นั่นคือ ‘การออม’ ในมิตินี้เอง นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) มองว่า ประเทศไทยจำต้องปฏิรูประบบการออมอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการออมเพื่อการชราภาพ เพราะประเทศไทยขณะนี้มีจำนวนผู้สูงอายุถึง 11%
และคาดว่าในอีก 20-25 ปีข้างหน้า ไทยจะกลายเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มขั้น
“การจะหวังให้ผู้สูงอายุพึ่งรายได้จากลูกหลานก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะครอบครัวส่วนใหญ่กลายเป็นครอบครัวเดี่ยวไปหมดแล้ว ทางที่ดีที่สุด คงต้องเร่งปฏิรูประบบบำนาญเพื่อการชราภาพ ซึ่งทิศทางดังกล่าวก็สอดคล้องกับผลการศึกษาความจำเป็นในการพัฒนาหรือปฏิรูประบบบำนาญของบริษัท Allianz Global Investors ที่ศึกษากลุ่มตัวอย่างจำนวน 40 ประเทศ ผลปรากฏว่า ประเทศไทยมีความจำเป็นเร่งด่วนเป็นอันดับที่ 4 รองจากอินเดีย จีน และกรีซ ที่ต้องปฏิรูประบบบำนาญเพื่อการชราภาพ”
เนื่องจากระบบการออมเพื่อการชราภาพในปัจจุบัน มีจุดด้อยตรงที่ครอบคลุมเฉพาะแรงงานในระบบเพียง 30% หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของกำลังแรงงานทั้งหมดของประเทศ ซึ่งนับว่าเป็นอัตราที่ต่ำมาก
ส่วนแรงงานนอกระบบที่เหลืออีก 2 ใน 3 ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในภาคเกษตรกรรม 58.9% ค้าส่งค้าปลีก 16.7% โรงแรมภัตตาคาร 7.7% อื่นๆ 16.7% กำลังตกอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วง เพราะแม้ว่า พ.ร.บ.กองทุนการออมแห่งชาติจะมีผลบังคับไปใช้แล้ว แต่การดำเนินการยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง
และแม้รัฐบาลจะแก้ปัญหาให้บางส่วน เช่น นโยบายเบี้ยยังชีพคนชรา 500 บาทต่อเดือน เลขาธิการ กบข. บอกว่า จำนวนเงินดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอ เพราะรายได้ที่ทำให้คนเราอยู่ได้อย่างเพียงพอ หรือมีคุณภาพชีวิตไม่ต่างกับช่วงที่ทำงานมากนัก จะต้องมีอัตราเงินทดแทนรายได้เฉลี่ยอยู่ที่ 60% แต่บ้านเราอยู่ที่ 21% เท่านั้น
“จากคนที่เคยมีรายได้ 100 บาท ลดลงฮวบเหลือเพียง 21 บาท คงต้องเรียกว่า คุณภาพชีวิตเปลี่ยนไปมาก” เธอคิดคำนวณเสร็จสรรพ
ก่อนหยิบผลการศึกษาของ ADB ซึ่งระบุว่า อัตราเงินทดแทนรายได้ (Replacement Rates) ของผู้ประกันตนที่มีระยะเวลาอยู่ในกองทุน 30 ปีและเกษียณอายุ 55 ปี ควรอยู่ที่เท่าไหร่
รวมทั้งข้าราชการ ซึ่งเกษียณอายุเมื่อ 60 ปี น่าจะต้องมีอัตราเงินออมประมาณ 27% ของรายได้ ถึงจะเพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณ
นอกจากนี้ หากต้องการให้ระบบการออมในบ้านเรา ทั้งระบบบำเหน็จบำนาญ ระบบประกันสังคมมีความยั่งยืน เลขาธิการ กบข. เชื่อมั่นว่า ต้องเปลี่ยนระบบการออมให้อยู่ในรูปแบบ Defined Contribution: DC เพื่อให้นายจ้างและลูกจ้างมีส่วนร่วมในการออมมากขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องมีการส่งเสริมการออมภาคสมัครใจ ปฏิรูประบบประกันสังคม เช่น การตั้งกองทุนบำนาญแห่งชาติ (กบช) ที่เป็น DC หรือแยกสำนักงานประกันสังคมเป็น "นิติบุคคล"
ประการสำคัญ ต้องขยายขอบเขตให้ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ ผู้มีอาชีพอิสระ เพราะหากประเทศไทยไม่เร่งปฏิรูประบบการออมเพื่อการชราภาพ จะก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม สร้างภาระให้กับคนรุ่นหลังมากเกินไป