- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- "บัตรเครดิตชาวนา" อย่าแก้ความจนด้วยการให้เงิน
"บัตรเครดิตชาวนา" อย่าแก้ความจนด้วยการให้เงิน
ก่อนเลือกตั้งทุกพรรคการเมืองต่างงัดกลเด็ดเคล็ดลับเพื่อคิดค้น นโยบายที่โดนใจ ส่วนหนึ่งก็เพื่อเรียกคะแนนเสียงจากกลุ่มเป้าหมาย ดูเหมือนว่า การเลือกตั้งที่ผ่านมา “เกษตรกร” จะถือเป็นเป้าหมายหลักของเหล่านักเลือกตั้ง โดยเฉพาะพรรคใหญ่ 2 พรรค คือ พรรคเพื่อไทยที่ชูนโยบายจำนำข้าว 15,000 บาทต่อตัน นโยบายบัตรเครดิตชาวนา ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ เข็นนโยบายประกันราคาข้าว ออกมา
ดังจะเห็นได้ว่า ทั้งสองพรรคต่างเข็นวาทะเด็ดเพื่อชูนโยบายให้ “โดนใจ” ที่ สุด นโยบายที่ว่า มีทั้งที่เป็นกลเม็ดขายฝัน มีทั้งมีที่มาเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน แต่ในวันนี้ประชาชนเลือกแล้วว่า นโยบายจากพรรคการเมืองใดโดนใจที่สุด ก็ถึงเวลาแล้วที่พรรคการเมืองนั้นจะทำสิ่งที่ขายให้เป็นจริงเสียที
ทว่าก่อนที่รัฐบาลใหม่จะผลักดันนโยบายที่ประกาศไว้ให้เป็นจริงก็มีข้อ ห่วงใยถึงถ้อยคำประกาศของนักการเมืองเหล่านั้น โดยเฉพาะ ผู้ประสานงาน สภาเครือข่ายองค์กรเกษตรกรแห่งประเทศไทย (สค.ปท.) อธิบายว่า ก่อนจะพูดถึงวิธีการแก้ไขปัญหาของเกษตรกร ต้องถามว่า คนที่คิดนโยบายแก้ไขปัญหาเกษตรกรและแก้ไขปัญหาพืชผลทางการเกษตรมีความเข้าใจ ชาวนา ชาวไร่จริงหรือไม่ เพราะหากไม่มีความเข้าใจ คิดนโยบายอะไรออกมาก็ไม่มีทางแก้ไขปัญหาได้
ในฐานะที่เป็นชาวนาแต่เห็นสภาพปัญหาจึงทำให้เธอลุกขึ้นสู้เป็นแกนนำชาวนา ภาคกลาง โดยเธอวิเคราะห์สภาพปัญหาของเกษตรกรว่า ขณะนี้ปัญหาของเกษตรกร โดยเฉพาะชาวนา คือ ปัญหาต้นทุนที่สูงขึ้น เห็นได้จากการทำนาในพื้นที่ภาคกลางที่มีต้นทุนเฉลี่ยไร่ละ 5,000 บาท ส่วนใหญ่มีค่าใช้จ่ายจากปุ๋ยเคมี ค่าน้ำมัน ค่าไถนา
“แม้ว่าข้าวจะราคาสูงแต่เมื่อขายไป หักกลบลบหนี้แล้วบางรายก็ได้กำไร แต่ส่วนใหญ่ขาดทุน เพราะชาวนาส่วนใหญ่ไม่มีเงินลงทุนทำนา จึงต้องกู้เงินซื้อปุ๋ยและนำมาเป็นเงินทุนทำนา”เธอ กล่าว
แม้ว่า พรรคเพื่อไทยที่มีฐานเสียงเป็นชาวรากหญ้าและพรรคนี้ก็นโยบายเอาใจเกษตรกรออก มาหลายข้อ แต่เธอว่าพรรคนี้ยังขาดความเข้าใจในการเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา โดยเห็นได้จากการนำเสนอนโยบายบัตรเครดิตชาวนาที่เห็นว่า หากนโยบายนี้ผลักดันให้เกิดขึ้นจริงก็อาจจะมีปัญหาตามมาอีกมา
“ปัญหาใหญ่ของการทำนาอยู่ที่ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น แต่บัตรเครดิตชาวนากลับเป็นแนวทางที่จะมาส่งเสริมให้เกษตรกรเข้าถึงแหล่ง เงินทุนง่ายขึ้น เท่ากับไม่ได้ลดต้นทุนการทำนาเลย ตรงกันข้ามกลับเพิ่มหนี้เร็วขึ้น วิธีแก้ไขปัญหาต้นทุนแพง”กิมอัง กล่าววิเคราะห์
ในฐานะที่อยู่กับปัญหาและรู้แนวทางแก้ไขปัญหา “กิมอัง” จึงเสนอว่า หากรัฐบาลใหม่จะแก้ไขปัญหาเกษตรกรอย่างแท้จริง ควรส่งเสริมให้เกษตรกรลดใช้สารเคมี ลดใช้ปุ๋ยเคมี แล้วหันมาใช้ปุ๋ยชีวภาพ ซึ่งมีตัวอย่างที่ทำแล้วได้ผลผลิตดี แต่ข้าวอาจจะไม่เขียวเท่ากับปุ๋ยเคมี นอกจากนี้เกษตรอำเภอหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรให้ข้อมูลและโน้มน้าวชาวนา ให้ปลูกข้าวเพียงปีละ 2 ครั้ง เพราะตอนนี้ข้าวขึ้นราคาจึงทำให้คนแห่ปลูก บางพื้นที่ปลูกในช่วงที่ไม่ใช่ฤดูกาลก็ทำให้ต้องประสบปัญหาน้ำท่วมก็ขาดทุน และกลายเป็นหนี้ตามมาอีกเป็นระลอก
“นอกจากนี้รัฐบาลใหม่ควรศึกษาดูต้นเหตุที่แท้จริงของการเกิด หนี้สินว่า เกิดขึ้นเพราะอะไร ถ้าต้องการแก้ไขปัญหาให้เร็วขึ้นควรตั้งวงคุยกับชาวบ้านที่ประสบปัญหา หนี้สินแล้วจะรู้ว่า ควรแก้ไขตรงไหน เพราะพวกเราเคยเสนอไปหลายรัฐบาล แม้กระทั่งรัฐบาลของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรว่า ปัญหาใหญ่ ๆ ของเกษตรกร คือ ปัญหาหนี้สิน ดังนั้นควรพักชำระหนี้ ซึ่งตอนนี้กองทุนฟื้นฟูเกษตรกรมีกฎหมายเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ยังไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง"
หากรัฐบาลใหม่เข้าใจว่า ปัญหาของชาวนา คืออะไรก็ไม่ต้องมีนโยบายจำนำราคาหรือนโยบายอะไรออกมา เพราะนโยบายนี้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง ซ้ำร้ายจะยังเป็นการทำลายกลไกตลาดและจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีก
“อย่างไรก็ตามเราก็ยังมีความหวังกับรัฐบาลใหม่ แต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากให้รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาพิจารณาและหาทางแก้ไข คือ ขณะนี้ชาวนาส่วนใหญ่มีแต่คนแก่ที่อายุ 50 ขึ้นไปจึงไม่สามารถทำนาได้อีก จึงเกิดปรากฎการณ์ขายนาให้นักธุรกิจ แล้วจ้างของที่นาเดิมก็กลายเป็นผู้จัดการนา ซึ่งเกิดขึ้นแล้วในพื้นที่ภาคกลาง เรื่องนี้หากไม่รีบแก้ไขก็จะกลายเป็นปัญหาในระยะยาวอีกต่อไป”เกษตรกรตัวจริง กล่าว
ขณะที่นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญเรื่องข้าวอย่าง “รศ.ดร.สมพร อิศวิลานนท์” นักวิชาการอาวุโสจากสถาบันคลังสมอง กล่าววิเคราะห์ถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาของเกษตรกรที่เห็นได้จากนโยบายของพรรคเพื่อ ไทยว่า ถือเป็นเรื่องดีที่พรรคเพื่อไทยเห็นความสำคัญของเกษตกร แต่ต้องคิดให้รอบคอบว่า การจะให้บัตรเครดิตชาวนาไปใช้นั้น ชาวนามีความเข้าใจการใช้เงินในลักษณะการให้สินเชื่อแบบนี้มากน้อยแค่ไหน เพราะต้องเข้าใจว่า ชาวนาแต่ละคนมีศักยภาพการบริหารสินเชื่อหรือบริหารเงินไม่เท่ากัน
“ผมเกรงว่า เมื่อมีการใช้จ่ายอย่างไม่ระมัดระวังการเข้าถึงสินเชื่อได้ง่าย อาจทำให้ชาวนาเจอปัญหาไม่มีศักยภาพในการชำระหนี้ ท้ายสุดชาวนาก็มีหนี้สินเพิ่มขึ้น ตัวอย่างก็มีให้เห็นมากมายจากการใช้บัตรเครดิตของชนชั้นกลาง เมื่อชาวนาไม่มีศักยภาพการชำระหนี้ ภาระหนักก็จะกลับคืนสู่รัฐบาลและรัฐบาลก็ต้องนำเงินของภาษีประชาชนไปแก้ไข ปัญหาตรงนี้ ดังนั้นบัตรนี้แทนที่จะช่วยแก้ไขปัญหาของเกษตรกรกลับไปทำให้เกิดปัญหาซ้ำ ขึ้นมาอีก”นักวิชาการอาวุโส ผู้นี้กล่าว
เขายังกล่าวอีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น หากชาวนาได้ใช้บัตรนี้จริงเกรงว่า ท้ายสุดอำนาจต่อรองในการใช้บัตรเครดิตจะอยู่ที่พ่อค้าคนกลางที่จะฉกฉวยผล ประโยชน์จากชาวนา โดยอาจจะเกิดขึ้นจากการขายสินค้าด้อยคุณภาพหรือการใช้ช่องว่างที่เกิดขึ้น จากกลไกต่างๆ เอาเปรียบเกษตรกรได้
รศ.ดร.สมพร ยังกล่าวเสนอว่า หากรัฐบาลหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องผลักดันนโยบายนี้ควรลดยอดวงเงินของบัตร เครดินลงให้พอเหมาะ แล้ววัดระดับศักยภาพการใช้หนี้ของเกษตรกรเป็นเกรด A เป็นลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมดี แล้วลดหลั่นลงมาเรื่อยๆ ก็จะทำให้แก้ไขปัญหาเรื่องศักยภาพการใช้เงินคืนได้ โดยข้อมูลเรื่องนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) จะมีข้อมูลที่รัฐบาลสามารถนำมาวิเคราะห์ได้
นักวิชาการผู้นี้ ยังกล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายการรับจำนำข้าวที่พรรคเพื่อไทยประกาศว่าจะรับจำนำทุกเม็ดตันละ 15,000 บาทนั้น ส่วนตัวเกรงว่า จะเป็นการแทรกแซงกลไกตลาดมากเกินความจำเป็น อีกทั้งจะเป็นภาระเรื่องงบประมาณของรัฐบาล
“รัฐบาลใหม่ควรมีแนวทางฝึกความสามารถในการจัดการไร่นาของเกษตรกร เพิ่มขึ้น เนื่องจากเกิดปรากฎการณ์แห่ทำนา เพราะตอนนี้ข้าวขึ้นราคาจึงทำให้เกษตรกรที่เคยปลูกพืชอย่างอื่น เช่น หอม กระเทียม ฯลฯ ทิ้งพืชของตัวเองแล้วปรับสภาพพื้นดินเพื่อปลูกข้าว ทำให้โครงสร้างการปลูกพืชเสีย ดังนั้นรัฐบาลควรใส่ใจเรื่องนี้ให้มาก เพราะในไม่ช้าเราจะเห็นปรากฎการณ์ข้าวราคาถูกอีก ตอนนั้นชาวไร่ที่ทิ้งพืชของตัวเองมาปลูกข้าวก็จะขาดทุนอีก”รศ.ดร.สมพร กล่าว
ทั้งนี้เขายังกังวลอีกว่า นโยบายการรับจำนำข้าวจะทำให้เกิดปัญหาการทุจริตได้ง่าย เนื่องจากปกติราคาข้าวเวียดนาม กัมพูชา มีราคาตันละ 550 ดอลล่าห์สหรัฐ แต่ถ้ารัฐบาลเปิดรับจำนำก็เป็นการเพิ่มให้ข้าวมีมูลค่าสูงขึ้นถึง 800 ดอลล่าห์สหรัฐฯ ตรงนี้อาจจะเป็นประโยชน์ของชาวนาเวียดนามที่จะฉวยโอกาสตรงนี้แล้วขนข้าวมา ขายให้ไทย
“สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ควรต้องคิดให้มากก่อนจะแก้ไขปัญหา เกษตรกร คือ อย่าสร้างมายาคติที่ว่า ชาวนามีปัญหาเพราะมีความยากจนจึงต้องแก้ไขปัญหาด้วยการให้เงินถึงจะเลิกจน ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น รัฐบาลต้องดูว่า เกษตรกรที่จนจริงๆ เป็นคนจนกลุ่มไหนและเขาต้องการอะไร หากรัฐบาลแก้ไขปัญหาด้วยสิ่งที่เขาต้องการก็จะทำให้เกษตรกรหายจน ตรงกันข้ามหากนำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการไปให้แทนที่จะเป็นเรื่องดี กลับเป็นเรื่องที่สร้างปัญหาขึ้นมาอีก”นักวิชาการผู้นี้ กล่าวย้ำเตือน
ทั้งนี้เขายังมีข้อเสนอแนะก่อนทิ้งท้ายว่า เมื่อรัฐบาลใหม่มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาเกษตรกรอย่างแท้จริง ควรมีนโยบายที่เพิ่มศักยภาพ เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้เกษตรกรและสนับสนุนให้เกิดการ วิจัยอย่างหลากหลาย เพราะงานวิจัยที่ดีจะช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับเกษตรกรได้
หวังว่า เสียงสะท้อนเหล่านี้จะส่งผ่านไปยังรัฐบาลใหม่และ “คิดก่อนทำ” เพราะหากทำแล้วไม่คิดผู้เป็นทุกข์หาใช่คนในรัฐบาลไม่ แต่จะเป็นเกษตรกรผู้ทุกข์ยากที่จะกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายอยู่วันยังค่ำ