- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- เมื่อคนเลี้ยงไก่ถาม ทำไม...'ไข่' ต้องราคาถูก ?
เมื่อคนเลี้ยงไก่ถาม ทำไม...'ไข่' ต้องราคาถูก ?
"ทำไมไข่ไก่ต้องราคาถูก"...
คำถามที่ยังค้างคาใจ ทายาทรุ่นที่ 2 ของอุดมชัยฟาร์ม "พ.ต.ต.หญิง สุธาทิพย์ แสงวัฒนกุล" ทั้งยังบ่งบอกถึงปัญหาและอุปสรรคที่เกิดจากการควบคุมราคาไข่ของภาครัฐ จนส่งผลกระทบต่อรายได้เกษตรกร
แน่นอนว่า ในช่วงผลผลิตไข่ไก่ล้นตลาด เกษตรกรจะขาดทุน แต่เมื่อราคาปรับขึ้นบ้าง พอที่จะชดเชยส่วนที่เคยขาดทุนไป ภาครัฐกลับเข้ามาควบคุม จนทำให้เกษตรกรรายย่อยที่ฐานะการเงินที่อ่อนแอกว่าหลายแห่งถึงขั้นต้องเลิกกิจการ ขณะที่เกษตรกรรายใหญ่ที่มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งกว่า ก็สามารถทนอยู่ได้
ความไม่เป็นธรรมเช่นนี้ หากนำไปเปรียบเทียบกับ สินค้าเกษตรประเภทอื่นที่มีการเรียกร้องให้ขึ้นราคาขาย
ชาวไร่ข้าวโพดต้องการให้ข้าวโพดราคาดี
คนปลูกถั่วเหลืองก็ต้องการให้ราคาสินค้าที่ดี
คนปลูกข้าวก็ออกมาเรียกร้อง ชาวประมง....ก็เช่นเดียวกัน
กอรปกับในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ เช่น ข้าวโพด ปลายข้าว รำข้าว และกากถั่วเหลือง รวมทั้งราคาพันธุ์ไก่ไข่ได้ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตไข่ไก่เพิ่ม แต่ทุกคนกลับมองว่า "ไข่ไก่" นั้นต้องราคาถูก เปรียบเสมือนเป็นดัชนีชี้วัดของเศรษฐกิจ!!
ในความคิด สุธาทิพย์ เห็นว่า ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะเป็น "ทำไมไข่ไก่ต้องราคาถูก ทั้งที่มันเป็นระบบเส้นทางสีเขียว เป็นเรื่องของการเกษตรแบบเกื้อหนุนกัน" กว่าจะได้ไข่มาฟองหนึ่ง.....? เราผลิตไข่ไก่ในราคาขายในราคาที่เป็นธรรม แน่นอนว่า ก็ต้องย้อนไปสู่คนที่ปลูกข้าวโพด ซึ่งไม่ต้องกังวลที่จะมุ่งผลิตข้าวโพดในปริมาณมากๆ แต่จะมุ่งผลิตข้าวโพดที่ดี ไม่ใส่สารเคมี ไม่ใช้ยาฆ่าหญ้า ผู้บริโภคก็จะได้รับแต่สิ่งทีดี และมีคุณภาพ
"บางทีควรต้องกลับไปคิดที่ต้นทาง มากกว่าที่จะมองแค่ปลายทาง"
ทายาทรุ่นที่ 2 ของอุดมชัยฟาร์ม ตั้งข้อสังเกตุ พลางเสริมว่า เรื่องนี้ เป็นหน้าที่ของภาครัฐในการจัดการกับราคาสินค้าที่เป็นธรรม โดยต้องมองว่า ทุกอย่างนั้นมีต้นทุน มีค่าการจัดการ เมื่อมีค่าการจัดการแล้ว ก็จะกลายเป็นสินค้าที่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่สินค้าไม่ดีมาขาย แล้วบอกว่า ราคาถูก แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องของคุณภาพเลย
เรื่องของวิธีการคิด วิธีการเลี้ยง วิถีธรรมชาติ แม้หลายคนจะต้องการสิ่งที่เรียกว่า ปลอดภัย แต่ก็ขอให้ราคาถูกๆ เธอยืนยันว่า มันไปด้วยกันไม่ได้อย่างแน่นอน
พร้อมกับการนำเสนอแนวคิด หจก.อุดมชัยฟาร์ม อ.พระพุทธบาท จ.สระบุรี ฟาร์มเลี้ยงไก่แบบธรรมชาติ ที่สามารถฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจ และเป็นหนึ่งในไม่กี่ฟาร์มที่อยู่รอดมาได้จากไข้หวัดนก
อุดมชัยฟาร์ม เริ่ม "ปล่อยไก่" ตั้งแต่ปี 2503 ทำฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่เล็ก ๆ ที่ไม่เคยขังไก่ ไว้ในกรงแคบ ไม่ใส่สารเร่งสีแดง ให้ไก่กิน ปล่อยไก่ เป็นอิสระ ได้เดิน วิ่ง ใช้ชีวิตเบิกบานตามประสาไก่
การมุ่งมั่นเลี้ยงไก่แบบปล่อยอิสระ มาเกือบ 50 ปี มาถึงวันนี้ ลูกหลานได้สานต่อความคิด และพัฒนาฟาร์มเป็นต้นแบบการเลี้ยงไก่ วิถีปศุสัตว์อินทรีย์ พ.ต.ต.หญิง สุธาทิพย์ บอกว่า การทำฟาร์มลักษณะนี้ไม่ได้จะแข่งขันกับใคร แต่เป็นการนำเสนอแนวคิดที่ถูกต้อง เป็นแนวคิดที่คนไทยต้องหันกลับมามอง เรื่องเดิมๆ แบบเดิมๆ บ้าง เพราะถ้ามุ่งจะผลิตเพื่อเอากำไร หรือเพื่อวงธุรกิจเพียงอย่างเดียว คงไปไม่รอด
แต่ถ้าคิดว่าทำโดยมุ่งผลิตสินค้าคุณภาพให้กับคนที่รู้คุณค่า ให้คนไทยได้ทาน ให้คนไทยได้รู้ข้อมูลที่ถูกต้องในเรื่องของการทาน "ไข่" ธุรกิจก็สามารถที่จะไปต่อได้
ซึ่งการเลี้ยงไก่ แบบธรรมชาติเฉกเช่นเดียวกับที่ อุดมชัยฟาร์ม จริงอยู่ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นเรื่องเก่าที่คนไทยมองข้ามไป
การเลี้ยงไก่แบบธรรมชาติ แบบไม่มีการกักขัง ให้แม่ไก่ได้มีอิสระในการคุ้ยเขี่ย หาอาหาร ส่งผลให้แม่ไก่นั้นอารมณ์ดี และออกไข่ที่มีคุณภาพ อีกทั้ง การ “เลี้ยงไก่ปล่อย ไม่ใส่สารเร่งสี” ไม่มีการใช้ยาปฏิชีวนะ และเลี้ยงแม่ไก่ให้แข็งแรงด้วยน้ำหมักชีวภาพ และสมุนไพรไทยนั้น ทั้งหมดนี้ก็ไม่เทียบเท่ากับสิ่งสำคัญที่สุด คือ เลี้ยงด้วยหัวใจ
ซึ่งทายาทรุ่นที่ 2 ของอุดมชัยฟาร์ม บอกเคล็ดลับ พร้อมให้แง่คิดอีกว่า "เรามองแม่ไก่เป็นเสมือนเพื่อนร่วมงานที่มีอิสระ แล้วแม่ไก่ก็จะมอบผลผลิตที่ดีคืนกลับมา"
การอยู่อย่างพอเพียงตามปรัชญาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ โดยไม่ต้องพึ่งบริษัทใหญ่ ไม่มีการทำธุรกิจแบบผูกขาดนั้น เธอยืนยันว่า "อาหาร" ต้องไม่ใช่ธุรกิจแบบผูกขาด อาหารคือเรื่องที่จะต้องมีอยู่ในทุกๆครัวเรือน ฉะนั้น ต้องเป็นเศรษฐกิจแบบท้องถิ่น ทุกชุมชนต้องมีอาหาร
เพราะนั่นคือความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ
ก่อนจะถ่ายทอดว่า ปัญหาอย่างหนึ่งของการเลี้ยงไก่ คือเรื่องของพันธุ์ โดยชาวบ้านไม่รู้ว่าจะไปหาได้จากที่ไหน ขณะที่ทางภาครัฐเองก็ไม่สามารถที่จะหาให้ตรงตามความต้องการของชาวบ้าน
ผลลัพธ์ที่ตามมา ก็คือต้องไปพึ่งบริษัทใหญ่ ที่เป็นผู้ผลิตพ่อพันธุ์แม่พันธุ์
ดังนั้น ภาครัฐควรต้องมองภาพโดยรวมแล้วกำหนดออกมาให้ชัดเจนว่า จะมีวิธีจัดการกับเกษตรกรอย่างไร รัฐเองอาจต้องลงทุนในเรื่องของการสร้างพันธุ์สัตว์เพื่อเกื้อกูลให้ชาวบ้านในแต่ละพื้นที่ เพราะถ้าให้เกษตรกรต้องไปพึ่งพาบริษัทใหญ่ๆ อยู่ร่ำไป ก็ไม่สามารถที่จะมีปากมีเสียงได้ ต้องทำตามกฎกติกาของบริษัทเหล่านั้น ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีพันธุ์สัตว์สำหรับลงทุน จนทำให้ธุรกิจในครัวเรือนไม่สามารถที่จะคิดไปได้ไกลกว่านั้นได้
พ.ต.ต.หญิง สุธาทิพย์ สะท้อนภาพรวมของปัญหา ก่อนจะชี้ชัดให้เห็นทางออกด้วยว่า อาจต้องเริ่มที่ความเข้มแข็งของภาครัฐให้ได้เสียก่อน คิดแล้วมองไปให้ไกลว่าปัจจุบัน มีปัญหาติดขัดที่ตรงจุดไหน ภาครัฐเองก็รู้ทั้งรู้ถึงปัญหา เพียงการทำงานปีต่อปี แก้ปัญหาไปทีละหน่อย โดยไม่ได้มองภาพโดยรวม ไม่ได้แล้ว...
เว็บไซต์:อุดมชัยฟาร์มพระพุทธบาทสระบุรี http://www.ploikai.com/index.php