- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- "ปปช.-เอกชน"หนุนแก้ทุจริต กู้ภาพลักษณ์สังคมคอรัปชั่น
"ปปช.-เอกชน"หนุนแก้ทุจริต กู้ภาพลักษณ์สังคมคอรัปชั่น
“ปี 2553 ไทยได้คะแนนดัชนีความโปร่งใสน 3.5 คะแนนจากคะแนนเต็ม 10 ซึ่งถือเป็นสิ่งน่ากลัว แต่เราจะใช้โอกาสนี้กู้ชื่อเสียงกลับคืนมา โดยเรื่องที่ต้องทำอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้เกิดการทุจริต คือ จะไม่ให้มีการซื้อขายตำแหน่ง คนดีจะได้รับการดูแลและมีการตรวจสอบ ขอให้ทุกคนทำงานให้เต็มที่ เราพร้อมให้การสนับสนุน เพราะเราคือทีมงานเดียวกัน”
ถือเป็นคำยืนยันจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่ประกาศระหว่างการมอบนโยบายของรัฐบาลและการจัดทำแผนบริหาร ราชการแผ่นดินต่อหัวหน้าส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา
ถือเป็นถ้อยแถลงที่ประกาศกร้าวที่ให้สังคมจับตาว่า เธอจะทำได้ดังที่หมายหรือไม่ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า เธอเป็นน้องสาวของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ได้ชื่อว่า เป็นต้นธารของการทับซ้อนผลประโยชน์ที่สุด ดังนั้นสปอตไลน์จึงฉายไปที่เธอมากเป็นพิเศษ
อย่างไรก็ตามในช่วงที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าทำงานเต็มที่ผู้คนในสังคมจึงไม่อยากจะทำลายบรรยากาศ “ฮันนีมูนพีเรียด” โดย “ศ.พิเศษ วิชา มหาคุณ” กรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แสดงทัศนะกับเรื่องนี้ว่า ล่าสุดนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช.ได้ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าส่วนราชการทุกหน่วยเพื่อให้ ความร่วมมือในการปราบปรามการทุจริตและเห็นเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลได้ประกาศ ให้เรื่องนี้อยู่ในนโยบายที่จะต้องดำเนินการ
“เราต้องรอดูและให้โอกาสรัฐบาลชุดนี้ว่าจะเอาจริงเอาจังกับ เรื่องนี้มากแค่ไหน สำหรับผมไม่ได้กำหนดว่าการปราบปรามการทุจริตจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่ถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังก็จะทำให้สัมฤทธิ์ผลได้ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลตกอยู่ในสภาพลูบหน้าปะจมูกการปราบปรามคอรัปชั่นจึงไม่ได้ รับความร่วมมือเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.ได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่มีสภาพบังคับการใช้งานเข้มข้นขึ้น ขณะนี้ได้มีการประกาศใช้แล้วแต่ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการทำความเข้าใจกับหน่วย งานต่างๆ และจะมีการบังคับใช้อย่างจริงจังต้นเดือนมกราคมปี 2555 เป็นต้นไป เชื่อมั่นว่า กฎหมายฉบับนี้จะทำให้คนที่กำลังคิดจะทุจริตหรือประพฤติมิชอบเกรงกลัว เพราะมีการเอาผิดแบบจริงจังมากขึ้น” กรรมการ ป.ป.ช. กล่าว
ทั้งนี้อาจารย์วิชาได้เสนอแนวทางการป้องกันการคอรัปชั่นว่า ที่ผ่านมาพบปัญหาว่า การจัดซื้อจัดจ้างในวงราชการมักเป็นปัญหา ดังนั้นป.ป.ช.จึงได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเพื่อให้ ครม.แจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดซื้อจัดจ้างตรวจสอบความโปร่งใส โดยเริ่มตั้งแต่สัญญาการจัดซื้อจัดจ้าง โดยต้องแสดงรายละเอียดทุกขั้นตอน รวมทั้งกรมสรรพากรจะต้องเข้ามาร่วมเฝ้าระวัง ซึ่งเรื่องนี้ ทาง ป.ป.ช.เองก็คงต้องทำความเข้าใจกับภาคเอกชนและองค์กรธุรกิจต่างๆ ที่เข้ามาร่วมงานประมูลต่างๆ กับภาคราชการด้วย เพราะการทุจริตจะเกิดขึ้นไม่ได้หากภาคส่วนเหล่านั้นไม่ยินยอม
กรรมการ ป.ป.ช.รายนี้ยังได้แสดงความกังวลต่อข้อมูลของสภาหอการค้าไทยที่ระบุว่า มีดัชนีการคอรัปชั่นในวงราชการสูงถึง 2-3 แสนบ้านบาทต่อปีว่า แม้เรื่องนี้จะมีคนออกมาเปิดเผยตัวเลข แต่เมื่อจะตรวจสอบ จริงก็ไม่มีใครกล้ามาให้ข้อมูล นับวันความรุนแรงในการคอรัปชั่นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ดังนั้นจึงอยากขอความร่วมมือกับตัวแทนภาคเอกชนต่างๆ ว่า เมื่อมีข้อมูลอยากให้ส่งมายัง ป.ป.ช.เพื่อจะได้ดำเนินการตรวจสอบและเอาผิดกับกระบวนการเหล่านี้
“ผมเชื่อว่า หลังจากที่เราบังคับใช้กฎหมายที่มีความเข้มงวดมากขึ้นจะทำให้คนตื่นตัวกับ การทุจริตได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ประเทศเราเหลือความเชื่อมั่นในเรื่องความโปร่งใส เพียง 3.5 คะแนนจาก 10 คะแนนว่า ดังนั้นทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันขจัดเรื่องนี้และช่วยกันกู้ภาพลักษณ์ประเทศให้ กลับคืนมา” ศ.พิเศษ วิชา กล่าว
ทั้งนี้เขายังได้กล่าวทิ้งท้ายถึงเรื่องที่สังคมเฝ้าจับตามองเกี่ยวกับผล ประโยชน์ทับซ้อนที่เป็นข้อกังขาอย่างหนึ่งที่สังคมมีต่อนายกฯ คนนี้ว่า “กฎหมาย มีการบังคับใช้อย่างเสมอภาค หากนายกฯ ทำผิดก็ต้องถูกดำเนินการเหมือนกัน ดังนั้นคนที่เป็นนายกฯ จะต้องเข้าใจระบบกฎหมายและอย่าฝ่าฝืนกฎหมาย เพียงเท่านี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว”
ทางด้านนายสันติ วิลาสศักดานนท์ อดีตประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย แสดง ความเห็นถึงเรื่องการคอรัปชั่นในภาคเอกชนว่า ปัญหานี้ถูกสะสมมานาน จากประสบการณ์ที่ได้ทำงานร่วมกับภาครัฐและจากที่ได้รับฟังจากเพื่อนนัก ธุรกิจที่มีประสบการณ์ในการประมูลงานกับหน่วยงานรัฐก็พบว่า หลายคนตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะการดำเนินธุรกิจบางอย่างมีเวลาในการทำงาน แต่ภาครัฐบางหน่วยงานทำงานล่าช้า ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้องจ่ายใต้โต๊ะ ทั้งที่ความจริงหากภาคราชการทำงานรวดเร็วก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายใต้โต๊ะ
“หากจะให้ปัญหาทุจริตหมดไป ต้องไม่มีการจ่ายใต้โต๊ะและต้องปฏิรูประบบศุลกากร เพราะทุกครั้งที่มีการจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งนี้ระเบียบและขั้นตอนต่างๆ จะต้องโปร่งใสและต้องมีใบสำคัญรับเงินทุกครั้ง มีการเข้าคิวและรับบัตรคิวในการติดต่อราชการอย่างตรงไปตรงมา หากขั้นตอนเหล่านี้โปร่งใสภาคเอกชนก็ไม่ต้องจ่ายใต้โต๊ะ เพราะคงไม่มีเอกชนรายใดอยากเสียเงินเพิ่ม ซึ่งหน่วยงานราชการสามารถทำได้ โดยสามารถดูได้จากการทำงานของกระทรวงการต่างประเทศที่เมื่อมีการพัฒนาระบบก็ ทำให้ทุกฝ่ายที่ติดต่อประสานงานมีความคล่องตัวมากขึ้น” นายสันติ กล่าวเน้นย้ำ
เขายังเล่าถึงปัญหาของภาคเอกชนที่เกิดขึ้นอีกว่า ในการประมูลงานกับหน่วยงานราชการแต่ละครั้งขั้นตอนการประมูลมีความยุ่งยาก บางครั้งการประมูลเป็นเรื่องเทคนิคทำให้ผู้ประมูลที่ไม่ความรู้เรื่องเทคนิค แต่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมกว่า ไม่ได้รับประมูล บางครั้งก็เกิดการล็อกสเปกจากหน่วยงานทำให้ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมไม่ได้ รับประมูล ถือเป็นการเสียโอกาสของหน่วยงานนั้นๆ ดังนั้นจึงเกิดปัญหาว่า โครงการก่อสร้างใหญ่ๆ มักจะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดหรือเป็นเอชนรายใหญ่ๆ เท่านั้นที่ได้รับการประมูล เรื่องนี้ถือเป็นปัญหาที่ได้รับการสะท้อนจากภาคเอกชนมากพอสมควร
“ผมจึงอยากเสนอว่า เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างหรือการประมูลงานกับหน่วยงานราชการควรทำทุกขั้นตอนให้โปร่งใส โดยอาจจะ ให้ตัวแทนจากสภาวิชาชีพ ตัวแทนจากสื่อมวลชน ตัวแทนสภาวิศวกรรมสถานฯ หรือตัวแทนจากหน่วยงานที่เป็นกลางเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการในการจัดซื้อจัด จ้างที่มีมูลค่าสูงหรือเป็นโครงการใหญ่ๆ ของรัฐ โดยให้อยู่ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการจัดซื้อจัดจ้างเลย ทั้งนี้เพื่อป้องกันการฮั้วหรือการคอรัปชั่นได้ เพราะที่ผ่านมาแม้ว่า ภาครัฐจะบอกว่าการประมูลขั้นตอนทุกอย่างเป็นความลับแต่ก็มีข่าวรั่วออกมาทุก ครั้ง นั่นจึงทำให้เกิดการฮั้วประมูลได้” อดีตประธานสภาอุตสาหกรรม กล่าว
ทั้งนี้นายสันติยังไม่เชื่อมั่นว่า การประมูลระบบอีออกชั่นจะสามารถป้องกันการทุจริตและบังคับใช้อย่างได้ผล โดยเขาเห็นว่า แม้ว่าระบบดังกล่าวจะทำให้การประมูลงานมีความทันสมัยมากขึ้น ทว่าก็สร้างความยุ่งยากขึ้นอีกหลายเท่า ในทางตรงกันข้ามกลับเอื้อให้เกิดการทุจริตมากกว่าการประมูลงานจากระบบธรรมดา โดยเฉพาะในโครงการใหญ่ๆ เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสำคัญๆ ต่างๆ ก็พบว่าเมื่อนำระบบนี้มาใช้ก็ไม่ได้สร้างความโปร่งใสเท่าที่ควร
ในฐานะที่เคยเป็นตัวแทนภาคเอกชนจึงอยากส่งเสียงถึงรัฐบาลชุดใหม่ ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ว่า ภาคเอกชนยังคงรอดูผลงานของรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะการจะพิสูจน์ผลงานในเรื่องการปราบปรามคอรัปชั่นที่เป็นปัญหา เรื้อรัง ซึ่งภาคเอกชนก็เชื่อว่า การมีฝ่ายค้านที่ทำหน้าที่ได้ดีจะช่วยทำให้รัฐบาลทำงานด้วยความระมัดระวัง มากขึ้น อีกทั้งยังคาดหวังกับรัฐมนตรีหน้าใหม่ที่เชื่อว่า ส่วนใหญ่จะทำงานเพื่อประเทศชาติและรับใช้ประชาชนอย่างแท้จริง
“สิ่งหนึ่งที่ผมอยากให้รัฐบาลชุดนี้และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ การปราบปรามทุจริตคอรัปชั่นดำเนินการ คือ อยากให้มีออกกฎหมายที่มีความเด็ดขาดและเอาจริงเอาจังกับผู้ที่ทุจริต คอรัปชั่น โดยหากมีข้อมูลและมีการตัดสินแล้วว่า นักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูงหรือใครที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตควรมีการ ยึดทรัพย์และห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเป็นเวลา 20 ปี เป็นต้น และกฎหมายจะต้องมีการบังคับใช้อย่างจริงจังและเสมอภาค” นายสันติ กล่าวด้วยความหวัง
ในฐานะที่คลุกคลีกับวงราชการและภาคเอกชนมานาน “สันติ” ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า หากไม่มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง การเขียนกฎหมายที่มีบทบัญญัติเข้มข้นก็เท่ากับว่า ไม่เป็นผลและการทุจริตก็จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเราควรเอาตัวอย่างประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง เกาหลีใต้หรือญี่ปุ่นที่สามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างจริง
ทั้งนี้ก็หวังว่า รัฐบาลชุดใหม่เดินเครื่องเอาจริงเอาจังกับปัญหานี้ เพราะหากไม่ดำเนินการกับเรื่องนี้ คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นในเรื่องความโปร่งใสของประเทศไทยก็คงจะลดต่ำลงไป มากกว่านี้ การเริ่มต้นเสียตั้งแต่วันนี้ก็ถือว่า เป็นเรื่องที่สายเกินไป