- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- “โรงไฟฟ้าถ่านหิน” จุดตัดทางนโยบายเกษตรกับพลังงาน
“โรงไฟฟ้าถ่านหิน” จุดตัดทางนโยบายเกษตรกับพลังงาน
เมื่อพื้นที่ทางการเกษตรถูกรุกไล่จากโรงไฟฟ้าถ่านหิน ชาวไร่ชาวนาในอำเภอพนมสารคาม อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา จึงต้องวางมือจากจอบเสียมชั่วคราว และหันมาสู้ศึกคัดค้านโรงไฟฟ้าอย่างเต็มกำลัง
เนื่องจากพื้นที่ก่อตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนขนาด 600 เมกะวัตต์โดยใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ตามที่ระบุไว้ในรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ที่ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรานั้น ถือเป็น "จุดไข่แดง" ของพื้นที่การทางเกษตร นับคราวๆ เฉพาะในรัศมี 5 กม. ก็กินพื้นที่ไปแล้ว 3 ตำบล 2 อำเภอ ได้แก่ ต.คู้ยายหมี อ.สนามชัยเขต ต.เกาะขนุน และต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม
ชาวบ้านที่นี่จึงออกอาการหวั่นวิตกว่า มลพิษจากโรงไฟฟ้าถ่านหินจะกระทบต่อสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิต เพราะพวกเขาหาอยู่หากินกับผืนดินของเมืองแปดริ้วมานาน อีกทั้งความมั่งคั่งสมบูรณ์ด้านทรัพยากรทางธรรมชาติยังเป็นปัจจัยสำคัญที่เอื้อต่อการเพาะปลูก
‘ฉะเชิงเทรา’ หรือ ‘แปดริ้ว’ จัดว่าเป็นแหล่งกสิกรรมขนาดใหญ่อันดับต้นๆ ของภาคตะวันออก แถมยังมีศักยภาพสูงในการผลิต ไม่ว่าจะเป็น...
เห็ดฟางที่มียอดขายเป็นอันดับ 2 ประเทศ
มะม่วงพันธุ์น้ำดอกไม้และเขียวเสวยที่ส่งออกไปค้าไกลถึงประเทศสวิสเซอร์แลนด์ อังกฤษ เยอรมัน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เวียดนาม โดยในปี 2553 ที่ผ่านมาสร้างรายได้ให้แก่ชาวสวนถึง 43 ล้านบาท
ขณะที่พืชดั้งเดิม สินค้าเลื่องชื่อของที่นี่อย่าง ‘ข้าวหอมมะลิ’ ก็พบข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรใน ปี 2553 ระบุว่า ฉะเชิงเทราสามารถผลิตข้าวได้มากเป็นอันดับหนึ่งของภาคตะวันออก โดย ‘พนมสารคาม’ จัดว่าเป็นพื้นที่ปลูกข้าวอันดับ 3 ของจังหวัด
ขณะที่ ‘สนามชัยเขต’ แม้จะมีสัดส่วนการผลิตที่น้อยกว่า แต่จุดเด่นอยู่ที่การเพาะปลูกในรูปแบบเกษตรอินทรีย์ ที่ผ่านการรับรองมาตรฐานระดับสากล ทั้งมาตรฐานสหพันธ์อินทรีย์นานาชาติ (International Federation of Organic Agriculture Movements: IFOM) และมาตรฐานสหภาพยุโรป (EU)
นอกจากข้าวแล้ว ยังมีพืชผักพื้นบ้าน ไม้ผลอีกกว่า 80 ชนิดที่ผ่านการรับรองมาตรฐานดังกล่าว อาทิ มะขาม ตะไคร้ ฯลฯ ทำให้ในแต่ละปีผลิตผลอินทรีย์กวาดเงินเข้าประเทศ ไม่ต่ำกว่า 17.2 ล้านบาท
ในเรื่องนี้ยืนยันได้จาก นางบุญไทย กล้าหาญ หนึ่งในสมาชิกจำนวน 102 รายของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ อำเภอสนามชัยเขต จ.ฉะเชิงเทรา ที่เล่าให้ฟังว่า สมาชิกของกลุ่มเกษตรอินทรีย์ฯ มีพื้นที่เพาะปลูกรวมกันกว่า 2,000 ไร่กระจายตัวอยู่ในตำบลต่างๆ ของอำเภอสนามชัยเขต รวมทั้งอำเภอข้างเคียงอย่างท่าตะเกียบด้วย แต่สำหรับแปลงเกษตรของเธอนั้น อยู่ในรัศมีอยู่ห่างโรงไฟฟ้าแค่ 5 กิโลเมตร
เธอจึงคาดว่าจะได้รับผลกระทบเต็มๆ
“มองจากจุดนี้อาจไม่เห็นปล่องควันของโรงไฟฟ้า แต่หากคำนวณจากทิศทางลมแล้ว น่าจะโดนเต็มๆ”เธอบอก พลางชี้ไปยังจุดก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อน ก่อนอธิบายให้เราฟังต่อถึงวิถีการเพาะปลูกในรูปแบบอินทรีย์ว่า หัวใจสำคัญอยู่ที่การเพาะปลูกโดยปลอดสารเคมี 100% ซึ่งที่ผ่านก็ใช้วิธีปลูกต้นไผ่เป็นแนวกันชน เพื่อป้องกันสารพิษ โลหะหนักที่อาจปนเปื้อนมาทางดินและน้ำ แต่หากโรงไฟฟ้าถ่านหินเกิดขึ้นจริงแล้วล่ะก็ มลพิษที่มาทางอากาศก็กลายเป็นเรื่องยากต่อการป้องกัน
เกษตรกรวัยกลางคนรายนี้ บอกอีกว่า ครอบครัวของเธอนั้น ปลูกข้าว ปลูกผักไว้กินเอง ส่วนที่เหลือก็ส่งไปขายยังต่างประเทศ อย่างข้าวอินทรีย์ส่งออกในราคา 18,000 บาทต่อเกวียน ได้ราคาดีกว่าขายในประเทศ ทำให้มีเงินเหลือเก็บเป็นค่าเล่าเรียนลูกๆ ได้อย่างสบาย
แต่ทว่าหลังจากนี้แล้ว หากมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นจริง เธอก็ยังมองไม่เห็นหนทางข้างหน้า จะเป็นอย่างไรต่อไป
“บอกตามตรง ไม่อยากให้มีโรงไฟฟ้าถ่านหินเลย เพราะเราไม่อยากเห็นวิถีอินทรีย์ล่มสลาย” เธอสรุปความในใจทิ้งท้าย
“ผมคงต้องอพยพหนี”
เขาบอกว่า โรงไฟฟ้าห่างจากบ้าน ซึ่งตั้งอยู่ในตำบลเกาะขนุนเพียงแค่ 7-8 กิโลเมตรเท่านั้น อีกทั้งที่ผ่าน ก็ยังไม่เคยเห็นเลยว่า มีประเทศไหนที่ทำให้ถ่านหินเป็นพลังงานสะอาดได้ 100% !!
“ขนาดเยอรมนี ซึ่งเป็นประเทศที่มีความสามารถในการบริหารจัดการด้านพลังงานสูง เขายังลดและเลิกใช้ถ่านหินเลย เพราะเห็นแล้วว่า มันสร้างผลกระทบได้จริงๆ จากป่าที่เคยสมบูรณ์กลายเป็นติดลบ”ไมเคิล ถอดประสบการณ์ในต่างแดนขึ้นมาอธิบาย พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เขตก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในสหรัฐฯ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ยากจนหรือชุมชนที่อ่อน เพราะชาวบ้านจะเห็นแก่เงินรายได้เล็กๆ น้อยจากการทำงานในโรงไฟฟ้า แต่สำหรับชุมชนที่มีความเข้มแข็ง ประชาชนมีรายได้ปานกลาง เขาจะไม่ยินยอมให้โรงงานไฟฟ้าถ่านหินเข้าไปทำลายสุขภาพเด็ดขาด
ทางด้าน ดร.เดชรัต สุขกำเนิด อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักวิชาการผู้ติดตามรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของโครงการดังกล่าวมาโดยตลอด แสดงความเห็นต่อโครงการไฟฟ้าถ่านหิน ผ่านการตั้งคำถามตัวโตๆ ว่า
....ประชาชนจะได้ประโยชน์อะไร ?
ประเด็นแรก ข้อมูลการใช้ฟ้าของอำเภอพนมสารคามและอำเภอสนามชัยเขตรวมกันใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 25% ของกำลังไฟทั้งหมดที่ส่งมาจากโรงไฟฟ้า พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ข้อไหนเลยที่ระบุ พลังงานไฟฟ้ามีปริมาณไม่เพียงพอ
ประเด็นที่สอง อัตราค่าไฟจะถูกลงหรือไม่ ตอบง่ายๆ ระบบค่าไฟนั้นเป็นระบบเดียวกันทั้งประเทศ ไม่มีรายการพิเศษที่จัดลดให้กับผู้อยู่อาศัยรอบโรงไฟฟ้า แต่สิ่งที่ชาวบ้านรอบๆ โรงไฟฟ้าจะได้คือ กองทุนพัฒนาชุมชนรอบโรงไฟฟ้า ซึ่งก็คาดเดาได้ไม่ยากว่า เขาต้องเก็บเงินจากผู้บริโภคมาจ่ายให้กับผู้อยู่อาศัยรอบๆโรงไฟฟ้านั้นเอง
ขณะเดียวกันหากดูจากศักยภาพของทรัพยากรในพื้นที่ โดยเฉพาะเรื่องน้ำ ซึ่งบริษัทยื่นความประสงค์ขอใช้น้ำจากคลองระบบในการหล่อเย็นปีละ 11 ล้าน ลบ.ม. ซึ่งถึงแม้ว่ากรมชลประทานจะชี้แจงแล้วว่า จะอนุญาตให้ใช้น้ำได้ไม่เกิน 3 ล้าน ลบ.ม.ในช่วงฤดูแล้ง อาจารย์เดชรัต กางข้อมูลให้ดูชัดๆ ว่า กรมชลฯ ก็ไม่ได้บอกว่าจะสามารถเก็บน้ำในช่วงหลังฝนแล้งได้ทุกปี ฉะนั้น ปัญหาที่อาจตามมา คือ การขาดแคลนน้ำในบางช่วง
"การนำน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติขึ้นมาใช้ อาจทำให้อัตราการไหลของน้ำเปลี่ยนแปลงไป และแน่นอนว่า ปริมาณน้ำที่น้อยลง ย่อมมีผลกระทบต่อคุณภาพน้ำในแหล่งธรรมชาติ เพราะคุณภาพของน้ำไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปล่อยของเสียเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับอัตราการไหลของน้ำที่จะมาชะล้างและเจือจาง ซึ่งเท่าที่ดูจากรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ยังไม่เห็นมีการแจกแจงในประเด็นดังกล่าว" จุดนี้เองทำให้นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมท่านนี้ จึงค่อนข้างเป็นห่วงว่า อาจไม่สามารถตอบคำถามให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างครบถ้วน
ประเด็นที่สาม ปัญหาเรื่องอากาศ ฝนกรด อันเนื่องมาจากการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ หรือออกไซด์ของไนโตรเจน ซึ่งบริษัทเองได้มีการทดลองวิเคราะห์ว่า อัตราของซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เมื่อขึ้นโครงการไปแล้ว จะสูงขึ้นอีก 3 เท่าหรือ 5 เท่าตัว และถึงแม้บริษัทจะชี้แจ้งในรายงานว่า ยังไม่เกินค่ามาตรฐาน แต่ก็ไม่ได้บอกว่าจะกระทบต่ออาชีพเกษตรหรือไม่ อย่างไร
ประเด็นสุดท้าย เรื่องการจัดการขี้เถ้าจากการเผาไหม้ถ่านหิน ซึ่งทางบริษัทได้แจกแจงไว้ว่า จะนำไปใช้ผลิตปูนซีเมนต์ ส่งเสริมอาชีพ รวมทั้งกำจัด แต่ปริมาณเถ้ากว่า 500,000 ตันต่อปี ถามว่า หากความต้องการใช้ลดลง การนำไปกำจัดจะสามารถทำได้ครอบคลุมเพียงใด
ถึงจุดนี้ การดำเนินการโครงการไฟฟ้าถ่านหินดังกล่าวนั้น ผ่านขั้นตอนการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงแต่รายงานการประเมินผลกระทบด้านสุขภาพผ่านเท่านั้น ก็สามารถตอกเสาเข็มได้ทันที ขณะที่เสียงของคนในพื้นที่ ประสานเสียงชัด ไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน...