- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ผลักกะเหรี่ยง(ดั้งเดิม)จากป่าแก่งกระจาน กับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตอน1 (มีคลิป)
ผลักกะเหรี่ยง(ดั้งเดิม)จากป่าแก่งกระจาน กับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตอน1 (มีคลิป)
ชม cilp video
ระหว่างวันที่ 16-24 กรกฎาคม 2554 ได้เกิดเหตุเฮลิคอปเตอร์ของกองทัพบกตกถึง 3 ลำ ในปฏิบัติการอพยพ ผลักดันชนกลุ่มน้อยออกจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ทำให้มีผู้เสียชีวิตรวม 17 คน เป็นทหาร 16 นาย รวมทั้ง พล.ต.ตะวัน เรืองศรี ผบ.พล.ร.9 อีก 1 คนเป็นช่างภาพสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 และยังมีทหารบาดเจ็บสาหัสอีก 1 นาย การสูญเสียครั้งนี้เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ทั้งชีวิตของบุคลากรและทรัพย์สินของทางราชการ สร้างความเศร้าสลดใจต่อคนไทยที่ติดตามข่าวสารทั่วประเทศ
หลังโศกนาฏกรรมสะเทือนใจผ่านพ้นไป มีคำถามถึงความไม่กระจ่างชัดของแผนอพยพ “ชนกลุ่มน้อย” ที่นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ให้ข่าวต่อสื่อมวลชนว่าชนกลุ่มน้อยเป็นผู้บุกรุกทำลายป่า ปลูกพืชผลการเกษตรเพื่อส่งเป็นเสบียงให้กองกำลังกะเหรี่ยงเคเอ็นยู และเกี่ยวข้องกับการผลิตยาเสพติด
ขณะเดียวกันก็ที่ข่าวออกมาจากตัวแทน “ชนกลุ่มน้อย”ว่า พวกเขาเป็นชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในป่าแก่งกระจาน ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยจากประเทศเพื่อนบ้าน ใช้ชีวิตในป่าแต่ไม่ได้บุกรุกป่า การที่เจ้าหน้าที่ของทางราชการใช้ความรุนแรงถึงขั้นเผาบ้าน ยุ้งฉางข้าว ทำลายทรัพย์สิน เพื่อกดดันให้ออกจากป่า เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมายรัฐธรรมนูญ ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย อย่างไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์
ต่อไปนี้ เป็นข้อเท็จจริงของแต่ละฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ความเป็นมาของแผนอพยพฯชนกลุ่มน้อย
จากข้อมูลของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน แผนอพยพ ผลักดันชนกลุ่มน้อยออกจากอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เกิดขึ้นจากหลังจาก นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานซึ่งเข้ามาดำรงตำแหน่งเมื่อปี 2552 ได้สำรวจสภาพป่าในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ตามโครงการดูแลรักษาป่าอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เนื้อที่กว่า 2 ล้านไร่ พบว่ามีผู้บุกรุกเป็น “ชนกลุ่มน้อย”จากประเทศเพื่อนบ้านเข้าไปอาศัยในป่าเป็นจำนวนมาก มีการบุกรุก แผ้วถางจนสภาพป่าเสียหายหลายแห่ง จึงได้จัดทำโครงการแผนอพยพ ผลักดันชนกลุ่มน้อยออกจากป่าแก่งกระจาน เริ่มปฏิบัติการตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคม 2553 โดยมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นเช่นตำรวจภูธร ตชด.ทหาร เข้าร่วมในแผนปฏิบัติการดังกล่าวกว่า 100 คน ด้วยเหตุผลว่า “ชนกลุ่มน้อย”ชาวกะหร่าง บุกรุกทำไร่เลื่อนลอยทำลายป่า น่าสงสัยว่ามีปลูกพืชผลการเกษตรเพื่อส่งเป็นเสบียงให้กองกำลังติดอาวุธนอกประเทศ และเป็นแหล่งปลูกพืชเสพติดกัญชา
เสียงจากชาวกะเหรี่ยงป่าแก่งกระจาน
ประมาณปลายเดือนพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน 2554 ก่อนจะเกิดเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก 3 ลำ นายวุฒิ บุญเลิศ ประธานประชาคมอำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เปิดเผยว่า มีชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานหลายสิบครอบครัว ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯกับทหารผลักดันออกจากพื้นที่อุทยานฯโดยวิธีการรุนแรง ถึงขั้นเผาบ้าน เผายุ้งฉางข้าว รวมทั้งยึดทรัพย์สินเป็นอุปกรณ์การทำการเกษตร ผู้ถูกผลักดันซึ่งมีทั้งคนแก่ ผู้หญิงและเด็กๆรวมหลายสิบคน กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนักเพราะไม่มีอาหารจะกิน ต้องไปขอความช่วยเหลือโดยอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องในตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน
“หลังจากเจ้าหน้าที่ได้เผาบ้าน เผายุ้งฉางข้าว ทำลายทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดันแล้ว ชาวกะเหรี่ยงไม่มีข้าวกิน ได้ร้องขอข้าวจากเจ้าหน้าที่เพื่อกินยังชีพ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้” นายวุฒิ ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา
ปฏิบัติการผลักดันชนกลุ่มน้อยครั้งสุดท้ายก่อน ฮ.ตก
ต่อมา ก่อนเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ลำแรกตกที่ชายแดนไทย-พม่าในวันที่ 16 กรกฎาคม หน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ กองกำลังสุรสีห์ อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี ซึ่งรับผิดชอบด้านความมั่นคงรวมถึงพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีแผนปฏิบัติการขยายผลผลักดันชนกลุ่มน้อย ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม โดยมีเอกสารอ้างถึงการอพยพและผลักดัน “ชนกลุ่มน้อย” ที่บุกรุกพื้นที่ป่าแก่งกระจานชายแดนไทย-พม่าระหว่างวันที่ 23-26 มิถุนายน ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
โดยก่อนหน้านั้น วันที่ 28 พฤษภาคม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานฯนั่งเฮลิคอปเตอร์บินตรวจสภาพป่า และเข้าตรวจบริเวณชายแดนไทย-พม่า พบการบุกรุกแผ้วถางป่าใกล้แนวชายแดน 14 จุด พบเพิงพัก สิ่งปลูกสร้างรวม 21 หลัง ปลูกอยู่ในลักษณะหลบซ่อนเพื่ออยู่อาศัย อาจจะเป็นที่ซ่องสุมกองกำลัง หรือจุดซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าหรือของผิดกฎหมาย ลักษณะทางภูมิศาสตร์เป็นป่าทึบ มีทิวเขาสลับซับซ้อน มีกองกำลังชนกลุ่มน้อยเคเอ็นยู ( KNU ย่อมาจาก karen national union- กองกำลังกะเหรี่ยงต่อสู้รัฐบาลพม่า)และชนกลุ่มน้อยอื่นๆอาศัยอยู่
แผนปฏิบัติการครั้งนี้เป็นการขยายผล โครงการอพยพ ผลักดันชนกลุ่มน้อยฯของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งได้ปฏิบัติการมาก่อนนั้นนั้นแล้ว 5 ครั้ง และพบว่ามี “กองกำลังเคเอ็นยู”และชนกลุ่มน้อยอื่นๆอาศัยอยู่ในพื้นที่ หน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ กองกำลังสุรสีห์ มีหน้าที่ด้านความมั่นคง จึงจัดกำลังลาดตระเวนเพื่อพิสูจน์ทราบในเขตพื้นที่ดังกล่าว ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม 2554 โดยทหารจำนวนหนึ่งได้เดินเท้าจากช่องวังโค อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี เข้าไปจนถึงพื้นที่ป่าแก่งกระจาน และได้ใช้เฮลิคอปเตอร์ร่วมปฏิบัติการครั้งนี้ด้วย มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้จับกุมชนกลุ่มน้อยได้ 6 คน ก่อนจะปล่อยตัวไป จากนั้นเป็นเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ที่ไปปฏิบัติการตก 3 ลำ
ชนกลุ่มน้อยในความหมายของ หน.อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน
วันที่ 8 สิงหาคม 2554 สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับ สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ได้จัดเสวนา “ฮ.ตก กับปัญหาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน” โดยเชิญนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงเพื่อการพัฒนา และนายวุฒิ บุญเลิศ ประธานประชาคมชาวสวนผึ้ง ร่วมเสวนา
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าวถึงแผนอพยพผลักดันชนกลุ่มน้อยออกจากป่าแก่งกระจาน ว่า เนื่องจากมีชนกลุ่มน้อยจากประเทศเพื่อนบ้านคือชาว "กะหร่าง"เข้ามาทำไร่เลื่อนลอยในเขตอุทยานฯมานานแล้ว โดยสภาพป่ามีพื้นที่กว้างใหญ่มาก การเดินป่าเพื่อปฏิบัติงานต้องใช้เวลานานถึง 15 วัน จึงสามารถเดินป่าได้เพียง 1 ใน 4 ของพื้นที่ จึงต้องใช้เฮลิคอปเตอร์ของทหารเข้าร่วมปฏิบัติงาน
"เมื่อปี 2537 ถึง 2541 เคยมีการอพยพชาวกะหร่างมาจัดสรรที่ทำกินให้ มีโครงการในพระราชดำริให้ความช่วยเหลือ จัดสรรพื้นที่ทำกินให้ มีโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ด้วยชื่อ บ้านเล็กในป่าใหญ่ แต่หลังจากปี 2541 เป็นต้นมา ไม่มีหน่วยงานใดสานต่อ ทำให้โครงการถูกยุบไปโดยปริยาย ชาวกะหร่างที่ถูกอพยพมาหลายครอบครัวไม่มีที่ทำกิน ขาดความเข้าใจในการทำมาหากิน เหมือนกับถูกปล่อยทิ้ง ทำให้ต้องอพยพกลับเข้าไปในป่าแก่งกระจานอีก ตรงนี้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชอบด้วย ในปี 2552 เจ้าหน้าที่พบว่ามีการทำไร่เลื่อนลอยจากวงเดิมในผืนป่า จึงจำเป็นต้องผลักดันให้คนเหล่านี้ออกไป"หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าว โดยขยายความการปฏิบัติงานตามแผนฯว่า
ตั้งแต่กลางปี 2553 ได้ปฏิบัติการตามยุทธการผลักดัน 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวกะหร่างให้เข้าใจว่า เป็นผู้บุกรุกเข้ามาตัดโค่นต้นไม้ทำให้ป่าเสื่อมโทรม ขอให้ออกไป คิดว่าคงได้ผลแต่ครั้งที่ 2 ไปตรวจดูอีกก็ยังมีการบุกรุกอยู่เหมือนเดิม เข้าใจว่าชาวกะเหร่างคงไม่ไปแน่ต้องอพยพ ครั้งที่ 3 ชาวกะหร่างก็ยังอาศัยอยู่อีก จึงสั่งการให้รื้อบ้านทิ้ง 5 หลัง ครั้งที่ 4 ได้ไปกับทหาร โดยใช้เฮลิคอปเตอร์บินเข้าไปในพื้นที่
“ ปฏิบัติการครั้งนี้ผมสั่งให้เผาบ้าน 5 หลังนั้นที่รื้อไว้ ส่วนชาวบ้านไม่อยู่ คงอยู่แถวๆนั้น ครั้งที่ 5 พบอีก 22 จุด ที่มีการบุกรุกทำไร่ พบบ้าน 7 หลัง บ้านยังอยู่ คนยังอยู่แต่คงหนีออกจากบ้าน เข้าใจว่าชาวกะหร่างคงรู้แล้วว่าอยู่ต่อไปในประเทศไทยไม่ได้แล้ว ที่น่าห่วงก็คือมีการพบแปลงกัญชาบริเวณชายแดนและในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน"
หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานระบุว่า การผลักดันครั้งที่ 3 ที่ 4 และครั้งที่ 5 ใช้กำลัง 118 นาย ประกอบด้วย ตชด. ตำรวจภูธรภาค 7 เจ้าหน้าที่อุทยานฯและทหารหน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ ส่วนครั้งที่ 6 ซึ่งเป็นปฏิบัติการต่อเนื่องของหน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ ระหว่างวันที่ 11-15 กรกฎาคม ที่นำเฮลิคอเตอร์ไปปฏิบัติการอีกครั้งหนึ่ง มีเจ้าหน้าที่อุทยานฯร่วมด้วย 4 นาย
“ชนกลุ่มน้อย”ที่ถูกผลักดันคือใคร
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงเพื่อการพัฒนา กล่าวในการเสวนา “ฮ.ตก กับปัญหาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน” ว่า “ชาวกะหร่าง”ที่หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกล่าวถึง แท้จริงแล้วภาษาทางราชการที่ถูกต้องคือชาวกะเหรี่ยง ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มเดียวกัน
“ การปฏิบัติการอพยพฯของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้มีการจับกุมผู้ต้องหาชื่อ “น่อแอะ” ข้อหาเป็นมีอาวุธปืนแก๊ป 8 กระบอก นายน่อแอะคือบุตรชายของ “นายคออี้” อายุ 100ปี ซึ่งมีหลักฐานว่าได้รับเหรียญชาวเขา ผู้ต้องหาคนนี้จึงไม่ใช่คนจากประเทศเพื่อนบ้านแน่นอน รวมทั้งผู้ถูกผลักดันคนอื่นๆอีกหลายสิบคนก็ยังไม่พบว่าเป็นชนกลุ่มน้อยจากประเทศเพื่อนบ้าน”นายสุรพงษ์เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา
“ โครงการแผนอพยพชาวกะเหรี่ยง ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม 2553 ซึ่งคณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงวัฒนธรรมเสนอ โดยเห็นชอบหลักการแนวนโยบายและหลักปฏิบัติในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง และมอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำนโยบายและหลักปฏิบัติไปปฏิบัติ โดยมาตรการระยะสั้นดำเนินการภายใน 6- 12 เดือน เฉพาะประเด็น การจัดการทรัพยากร ซึ่งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กับกระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานรับผิดชอบระบุว่า ให้ยุติการจับกุมและให้ความคุ้มครองกับชุมชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่เป็นชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม ที่อยู่ในพื้นที่ข้อพิพาทเรื่องที่ทำกินในพื้นที่ดั้งเดิม” นายสุรพงษ์ให้รายละเอียดเพิ่มเติม
“ การใช้คำเรียกที่ไม่ชัดเจนว่าชนกลุ่มน้อยเป็นใคร เป็นการสร้างวาทะกรรมคลุมเครือ นำไปสู่การปฏิบัติต่อกลุ่มคนส่วนหนึ่ง เหมือนกับครั้งหนึ่งที่เคยมีการเรียกคนกลุ่มหนึ่งว่า ผกค. (ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์) เช่นการใช้คำว่ากะหร่าง ไม่เรียกกะเหรี่ยง ทำให้มีความชอบธรรมในการทำลายล้าง ...ส่วนเรื่องการเผายุ้งข้าว มีการเผาจริงๆ พี่น้องกะเหรี่ยงบอกผมว่า ข้าวถูกเผา เขามองกะเหรี่ยงไม่ใช่คน "
นายวุฒิ บุญเลิศ ประธานประชาคมอำเภอสวนผึ้ง กล่าวในการเสวนาว่า ยังมีเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐไม่รู้ว่า “กะเหรี่ยง”คือใคร “กะหร่าง”คือใคร
หลังการเสวนาในวันนั้น นายวุฒิ บุญเลิศ ได้เป็นตัวแทนชาวกะเหรี่ยงที่ถูกผลักดัน ให้นายสุรพงษ์ กองจันทึก ซึ่งเป็นกรรมการในคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ อยู่ด้วย ขอความช่วยเหลือและความเป็นธรรมให้ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมที่ถูกผลักดันและได้รับความเดือดร้อนจากการปฎิบัติการด้วยความรุนแรงของทางราชการ