- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- ผลักกะเหรี่ยง(ดั้งเดิม)จากป่าแก่งกระจาน กับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตอน 2 (มีคลิป)
ผลักกะเหรี่ยง(ดั้งเดิม)จากป่าแก่งกระจาน กับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตอน 2 (มีคลิป)
ชม cilp video
ร้องเรียนกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
หลังจาก นายวุฒิ บุญเลิศ ประธานประชาคมสวนผึ้ง ได้เป็นตัวแทนยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือและความเป็นธรรมไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ได้มีการประชุมคณะกรรมการฯและมีความเห็นให้นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ เป็นหัวหน้าคณะทำงานเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง
นอกจากนั้น นายวุฒิ บุญเลิศ ในฐานะตัวแทนเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม ได้ร้องเรียนไปยัง น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจด้านที่ดินและป่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้ตรวจสอบเหตุการณ์ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมถูกกระทำรุนแรง ผลักดันออกจากป่าแก่งกระจานด้วยการเผาบ้าน ยุ้งฉางข้าวอย่างไร้มนุษยธรรม
ขณะที่นายน่อแอะ มี่มิ ผู้ต้องหาชาวกะเหรี่ยงที่ถูกจับกุมฐานมีปืนแก็ป 8 กระบอก ได้ยื่นหนังสือผ่านไปถึง นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ให้ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานและเจ้าหน้าที่ หนังสือร้องเรียนดังกล่าวลงวันที่ 22 สิงหาคม 2554 ระบุว่าหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนขู่บังคับ จับกุม เผาบ้านและยุ้งข้าวของชาวกะเหรี่ยงกว่า 30 ครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่หลบหนีไปเพราะความหวาดกลัว
“ได้ทำการรื้อถอนบ้านพักอาศัยของชาวกะเหรี่ยง ทำลายยุ้งข้าวเปลือก ยึดเงินสดจำนวน 2 หมื่นบาทของนายน่อแอะและบิดา(นายคออี้) ยึดเครื่องมือยังชีพ และบังคับให้ละถิ่นฐานโดยปราศจากเครื่องมือยังชีพและเครื่องนุ่งห่ม” หนังสือร้องเรียนของนายน่อแอะ ระบุ โดยร้องเรียนให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติสวบสวนข้อเท็จจริง เพื่อนำผลการสอบสวนไปดำเนินคดีและดำเนินการทางวินัยต่อไป
ความเป็นมาของชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมแก่งกระจาน
นายวุฒิ บุญเลิศ ประธานประชาคมสวนผึ้ง ให้ข้อมูลว่า ความเป็นมาของชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจาน มีหลักฐานของชาวต่าวประเทศจากการสำรวจป่าและสัตว์ป่าบริเวณเทือกเขาตะนาวศรีแถบนี้ในสมัยรัชกาลที่ 5 หรือเมื่อร้อยปีก่อน ถือได้ว่าชาวกะเหรี่ยงได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ผืนป่าแก่งกระจานมานาน ก่อนจะมีการประกาศเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเป็นที่ทราบกันของทางราชการว่ามีชาวกะเหรี่ยงกลุ่มใหญ่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านบางกลอยบน
ในปี 2512 เริ่มมีการสำรวจข้อมูลชาวเขาทั่วประเทศ จัดเก็บข้อมูลในเอกสารของทางราชการ หัวหน้าครอบครัวได้รับเหรียญที่เรียกว่า “เหรียญชาวเขา” ด้านหน้าเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ด้านหลังเป็นรูปแผนที่ประเทศไทย มีโค้ตตัวย่อจังหวัดเช่น เพชรบุรีย่อว่า “พบ.”และเลขรหัสของครอบครัวชาวเขา ในทางปฏิบัติเปรียบเสมือนเป็นหลักฐานว่าเป็นชาวเขาที่ได้รับการสำรวจอาศัยอยู่ในประเทศไทย ไม่ใช่คนของประเทศอื่น ชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจานก็ได้รับด้วยเช่นกัน
ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้ไม่ใช่ชาวกะเหรี่ยงเผ่าโผล่งซึ่งเป็นกะเหรี่ยงเผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี-เพชรบุรี หากเป็นเผ่าสกอร์ ที่เรียกตัวเองว่า “ปกาเกอะญอ” ซึ่งคนที่ไม่ใช่ชาวกะเหรี่ยงเรียกว่า “กะหร่าง”
ปี 2514 พื้นที่ชายแดนไทย-พม่าริมเทือกเขาตะนาวศรีเป็นพื้นที่หนึ่งที่มีการแย่งชิงมวลชนระหว่างรัฐกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ทำให้ชาวกะเหรี่ยงหลบหนีไปอาศัยในรอยต่อชายแดนไทย-พม่า บางส่วนก็ข้ามไปในพื้นที่ประเทศพม่า
ปี 2521 ถึง 2523 มีการอพยพชาวกะเหรี่ยงที่ยังเหลืออยู่ที่บ้านใจแผ่นดิน อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี มาอยู่ที่บ้านพุระกำ ตำบลตะนาวศรี อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี (ในปัจจุบัน) ด้วยเหตุผลของทางการเพื่อดึงมวลชนของรัฐและเพิ่มประชากรเพื่อการตั้งหมู่บ้าน ตำบล และแยกตำบลสวนผึ้ง จากอำเภอจอมบึงตั้งเป็นกิ่งอำเภอสวนผึ้ง
ต่อมาในปี 2531 ได้มีการสำรวจข้อมูลชาวกะเหรี่ยงในป่าแก่งกระจานอีกครั้งหนึ่ง เพื่อหาทางแก้ปัญหาการบุกรุกผืนป่า ต้นน้ำลำธารของชาวเขาในพิ้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีหลายหน่วยงานเข้าร่วมเช่นฝ่ายปกครอง หน่วยงานสังคมสงเคราะห์ ตำรวจตระเวนชายแดน ฯ โดยสำรวจตามจุดที่มีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่ในบ้านบางกลอยบน และบันทึกในเอกสารของทางราชการ
ในปี 2539 กรมป่าไม้ (ในขณะนั้น)โดยอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ร่วมกับหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 29 และจังหวัดเพชรบุรี ได้ร่วมกันจัดทำโครงการศึกษา เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาการบุกรุกทำลายป่าอย่างถาวร มีหลายโครงการที่ช่วยเหลือชาวกะเหรี่ยงให้มีที่ทำกิน รวมทั้งช่วยเหลือด้านชีวิตความเป็นอยู่ จากนั้นได้เริ่มอพยพชาวกะเหรี่ยงที่กระจัดกระจายกัน57 ครอบครัว จำนวน 391 คน มาอาศัยอยู่ร่วมกันในพื้นที่ตรงข้ามกับบ้านโป่งลึก หมู่ 1 บ้านบางกลอย หมู่ 2 ตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน ทางการได้สร้างที่อยู่อาศัย จัดที่ดินทำกินให้ครอบครัวละ 5-7 ไร่ อย่างไรก็ตาม ต่อมา ได้มีชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมจำนวนหนึ่งและลูกหลานกลับเข้าไปดำเนินชีวิตอย่างเดิมในป่าแก่งกระจานอีก หลังจากโครงการให้ความช่วยเหลือของรัฐยุติไป
อนุกรรมการด้านชนชาติฯสภาทนายความตรวจสอบข้อเท็จจริง
หลังจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ได้รับหนังสือร้องเรียนจากชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดัน และแต่งตั้งให้นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการด้านชนชาติฯสภาทนายความ เป็นหัวหน้าคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง นายสุรพงษ์พร้อมด้วยนักกฎหมาย สภาทนายความ ได้ลงพื้นที่สอบปากคำชาวกะเหรี่ยงหลายคน รวมทั้งพยานบุคคล ตรวจสอบหลักฐานการสำรวจของทางราชการ พบว่าข้อเท็จจริงของนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับปากคำของชาวกะเหรี่ยงที่ถูกผลักดัน ขัดแย้งกันอย่างชัดเจนใน 2 ประเด็นคือ “ชนกลุ่มน้อย”เป็นชาวกะหร่างจากประเทศเพื่อนบ้าน กับประเด็นเจ้าหน้าที่ “กระทำ”หรือ “ไม่ได้กระทำ” ต่อผู้ถูกผลักดันด้วยความรุนแรงถึงขั้นเผาบ้าน เผายุ้งข้าว รวมทั้งทรัพย์สินอื่น
ประเด็นผู้ถูกผลักดันเป็นชนกลุ่มน้อยจากประเทศเพื่อนบ้านหรือไม่ จากการตรวจสอบพบว่ามีหลักฐานของทางราชการและพยานบุคคลซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ชาวกะเหรี่ยงที่ถูกผลักดันและมาอาศัยอยู่กับญาติพี่น้องที่บ้านโป่งลึกและบ้านบางกลอยประมาณ 40 ครอบครัวคือชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในป่าแก่งกระจาน โดยเฉพาะหลักฐานในการสำรวจทะเบียนราษฎร์ชาวเขาปี 2531
เช่น อดีตนายพรานผู้เฒ่าอายุ 100 ปี ซึ่งมีการอ้างอิงมีชื่อว่า “คออี้”หรือนายโคอิ้ มี่มิ หรือ”จออี้” นอกจากมีเหรียญชาวเขา ยังมีชื่ออยู่ในเอกสารการสำรวจของอำเภอแก่งกระจานเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2531 มีข้อมูลอยู่ในครอบครัวที่ 3 ในเขตพื้นที่หมู่บ้านบางกลอย อำเภอแก่งกระจาน เป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง เกิดเมื่อปี 2454 บิดาชื่อมิมิ มารดาชื่อฟีนอดี นับถือศาสนาผี มีภรรยาชื่อนางอตะกี เกิดเมื่อปี 2481 ที่จังหวัดเพชรบุรี มีบุตรชื่อนายน่อเอะ เกิดเมื่อปี 2504 กับนายหน่อสะ เกิดเมื่อปี 2508
“ ในเบื้องต้นสรุปได้ว่าชนกลุ่มน้อยที่กล่าวถึงคือชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในป่าแก่งกระจาน ชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญตามมาตรา 66 และ67 ในการอาศัยและกำหนดชีวิตของตนเอง รวมทั้งการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในบริเวณนั้น นอกจากนี้ ยังพบว่าหน่วยงานของรัฐยังไม่มีการดำเนินการใดๆ ตามมติ ครม.เมื่อ 30 มิ.ย. 2541 และ 3 ส.ค. 2553 ในการเข้าไปตรวจสอบว่าชาวบ้านอยู่กันอย่างไรหรือยุติการจับกุม เพื่อรอการพิสูจน์ตรวจสอบก่อน อีกทั้งการฟื้นฟูวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงให้อยู่กับป่ากับธรรมชาติ” นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ฯ สภาทนายความกล่าว
ส่วนประเด็นการใช้ความรุนแรงอพยพถึงขั้นเผาบ้าน เผายุ้งข้าว เพื่อผลักดันชาวกะเหรี่ยงออกจากป่าแก่งกระจาน ซึ่งนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานยอมรับว่าเป็นผู้สั่งให้เผาบ้านของชาวกะเหรี่ยงที่รื้อทิ้งไว้ในการปฏิบัติการครั้งที่ 3 และเผาทิ้งในขณะที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยในการปฏิบัติการครั้งที่ 4 เดือนมิถุนายน 2554 แต่ไม่มีการเผายุ้งข้าวแต่อย่างใด นักกฎหมายสภาทนายความ สอบปากคำชาวกะเหรี่ยงที่ถูกผลักดัน ได้รับข้อมูลตรงกันข้าม
เช่น จากการสอบปากคำ ชาวกะเหรี่ยงคนหนึ่ง(ขอสงวนนาม) ได้ให้ปากคำนักกฎหมาย สภาทนายความว่า เย็นวันหนึ่ง (น่าจะอยู่ในเดือนมิถุนายน) ขณะอยู่กับครอบครัว มีผู้หญิงและมีเด็กอายุเดือนเศษรวมอยู่ด้วย 8 คน ได้มีเจ้าหน้าที่นับสิบคนพร้อมอาวุธปืน เดินทางไปที่บ้านในป่าแก่งกระจาน
“ เจ้าหน้าที่เหมือนลิงป่า หยิบข้าวของ รื้อค้นบ้าน บางคนใช้ข้าวเปลือกให้ไก่พันธุ์ที่เลี้ยงเพื่อขายจำนวน 30 ตัวเข้าไปใกล้ แล้วใช้ไม้ ใช้ก้อนหินขว้างไก่ตัวใหญ่น้ำหนัก 2 กิโลกรัมขึ้นไป จับไปฆ่าทำอาหาร 10 ตัว โดยไม่บอกกล่าว และคนในครอบครัวก็ไม่ได้ร่วมกินด้วย”
คืนนั้น เจ้าหน้าที่ยังได้ขึ้นไปนอนบนบ้าน วันรุ่งขึ้นก็จุดไฟเผาบ้านทิ้งขณะที่คนในครอบครัวยังอยู่บนบ้าน เห็นหลังคาถูกไฟไหม้ ต้องกระโดดหนีลงมายืนดูไฟไหม้บ้านวอดไปทั้งหลังต่อหน้าต่อตา ไม่ทันหยิบฉวยข้างของเครื่องใช้ และทรัพย์สินออกมา
“ มีด จอบ เสียม ข้าวของ เครื่องดนตรีเตหน่า เงินขายพริกแห้ง 3 พัน อยู่ในบ้าน ยุ้งข้าวถูกเผาไปพร้อมกับข้าว 200 ถัง” ชาวกะเหรี่ยงเจ้าของบ้านให้ปากคำ นายนิรันดร์ พงษ์เทพ ประธาน อบต.ห้วยแม่เพรียง กล่าวว่า ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในป่าแก่งกระจาน ปลูกข้าวแค่พอกิน ไม่ได้ส่งเสบียงให้กองกำลังเคเอ็นยู บริเวณนั้นไม่มีกองกำลังติดอาวุธ ส่วนเรื่องเจ้าหน้าที่เผาบ้าน เผายุ้งข้าว ชาวกะเหรี่ยงที่ถูกผลักดันบอกว่า มีทั้งเผา หรือทำลายยุ้งข้าวแล้วปล่อยทิ้งตากแดดตากฝน ไม่ได้นำข้าวมาแจกชาวบ้านแต่อย่างใด
“ ยืนยันได้ว่าไม่มีกองกำลังเคเอ็นยูในพื้นที่ ถ้ามีก็อยู่ในพม่าไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ส่วนที่ว่ามีพม่าเข้ามาอาศัยในพื้นที่ก็ไม่มี ที่อยู่ในป่าเป็นกะเหรี่ยงดั้งเดิมทั้งสิ้น” ประธาน อบต.ห้วยแม่เพรียงกล่าวกับผู้สื่อข่าว
นายลอย จีบ้ง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านโป่งลึก กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ก็ทราบดีว่ามีชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมอาศัยอยู่ในป่าลึกติดชายแดนไทย-พม่า และอยู่กันมาเป็นร้อยปีแล้ว หลังขับไล่ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมออกมาก็ยังไม่มีการแก้ปัญหา ไม่มีการจัดการดูแลที่ดีพอ
“ คนกะเหรี่ยงเหล่านี้ไม่สามารถหาที่อยู่อาศัยและมีที่ทำกิน ก่อนจะขับไล่ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิม เจ้าหน้าที่น่าจะมาพูดคุย หารือกับผู้นำชุมชน มีทั้ง อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ว่าจะหาทางแก้ปัญหาอย่างไร” นายลอย กล่าว
จากการสอบถามชาวกะเหรี่ยงที่ถูกผลักดันออกจากป่าแก่งกระจาน ยังมีชาวกะเหรี่ยงอีกจำนวนมาก อาจจะถึง 100 คน ยังหลบหนีและอาศัยอยู่ในป่า ไม่กล้าออกมาเพราะเกรงกลัวเจ้าหน้าที่
นอกจากคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงจากสภาทนายความได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว คณะของ น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ ประธานคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจด้านที่ดินและป่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ จะเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกคณะหนึ่ง
ข่าวประกอบ : ผลักกะเหรี่ยง(ดั้งเดิม)จากป่าแก่งกระจาน กับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ตอน1 (มีคลิป)