- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- รื้อฟื้น 30 บาท มีดีแค่ศักดิ์ศรี ?
รื้อฟื้น 30 บาท มีดีแค่ศักดิ์ศรี ?
มีเพียงความชัดเจนระดับกระพี้เท่านั้น สำหรับนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ที่รัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ประกาศไว้ตั้งแต่ครั้งหาเสียงหวังปักธงเหนือทำเนียบรัฐบาล
เพราะจนถึงนาทีนี้สังคมตระหนักรู้ร่วมกันเพียง พรรคเพื่อไทยเตรียมรื้อฟื้นนโยบาย 30 บาทอีกครั้ง แต่กลับยังไม่มีใครสามารถฉายภาพหรือให้คำอธิบายแนวทางการดำเนินนโยบายที่ เป็นแก่นได้ประชาชนร่วม 50 ล้านคน จึงได้แต่เฝ้าติดตาม
ทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ประเมินเบื้องต้น หากนำร่องให้ประชาชนกลับมาร่วมจ่ายอีกครั้ง สามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ระบบสาธารณสุขได้ถึงปีละ 4,000 ล้านบาท
หากผลเลิศของพรรคเพื่อไทยไม่ใช่เพียงการผลิตซ้ำทางนโยบายด้วยหวังผลทางการเมือง ก็นับว่าน่าสนใจยิ่ง
ทว่า บทคาดการณ์ทางตัวเลขของทีมยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย กลับถูกหักล้างด้วยข้อมูลจากผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานหลักประกันสุขภาพ แห่งชาติ (สปสช.) ในฐานะผู้จัดบริการในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในยุครัฐบาลไทยรักไทย
“ที่สุดแล้วจะมีเงินเข้าระบบเพียง 2,000 ล้านบาท” นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รองเลขาธิการสปสช. สำทับข้อมูลด้วยเหตุผลประกอบว่า แต่ละปีจะมีผู้ป่วยนอกใช้บริการในสถานพยาบาลประมาณ 150 ล้านครั้ง ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เด็กเล็กและผู้ยากไร้ ซึ่งตรงตามเงื่อนไขของกฎหมายที่กำหนดให้ สปสช.บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
นั่นหมายความว่า เหลือผู้ใช้บริการอีกเพียง 40% เท่านั้นที่ต้องร่วมจ่ายเงิน 30 บาท ท้ายที่สุดแล้วจะมีเงินเข้าระบบเพียง 2,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าต่ำมากและไม่มีนัยสำคัญใดๆ ต่อระบบสอดคล้องกับชุดข้อมูลของ นพ.พงศธร พอกเพิ่มดี นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ด้านสาธารณสุข ที่ยืนยันว่า การเก็บเงิน 30 บาท จะทำให้มีเงินเข้าสู่ระบบเพียง 2,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ใช่เม็ดเงินหลักสำหรับหล่อเลี้ยงระบบ
เม็ดเงิน จึงไม่ใช่สาระสำคัญตามที่พรรคเพื่อไทยอ้าง
ปัญหาในระบบสาธารณสุขขณะนี้ แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ 1.ปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน-ค่าตอบแทน และบุคลากรทางการแพทย์ที่ไม่เพียงพอ 2.เงินที่ลงสู่หน่วยบริการลักลั่น 3.ปัญหาความแออัดของผู้ใช้บริการ
แพทย์และผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขต่างคาดหวังว่านโยบาย 30 บาทจะช่วยแก้ปัญหาการกระจุกตัวของผู้ใช้บริการได้ จึงให้การสนับสนุน
นพ.พงศธร บอกว่า การเก็บเงิน ณ จุดให้บริการ หรือที่เรียกว่าโคเปเม้นต์หรือยูสเซอร์ชาร์ท มีทั้งข้อดีและข้อเสียกล่าวคือจะช่วยลดอัตราการใช้บริการที่ไม่จำเป็นได้ ในทางกลับกันหากเก็บในจำนวนมากเกินไปจะทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงบริการ ได้ ดังนั้นหากรัฐบาลจะตัดสินใจอย่างหนึ่งอย่างใดควรพิจารณาให้สมดุล ที่สำคัญต้องเข้าใจว่าจุดประสงค์สำหรับการเก็บเงินไม่ใช่เพื่อหาเงินเข้า หน่วยบริการ
นอกจากนี้ รัฐบาลควรที่จะสนับสนุนให้สถานพยาบาลมีบุคลากรที่เพียงพอและมีเตียงสำหรับรองรับความต้องการการใช้บริการมากขึ้น
เช่นเดียวกับ นพ.สัมพันธ์ คมฤทธิ์ เลขาธิการแพทยสภา ที่เห็นว่า นโยบายนี้จะช่วยลดภาระงานของแพทย์และพยาบาลที่กำลังอยู่ในขั้นวิกฤต และเป็นผลทางจิตวิทยาต่อประชาชนไม่ให้ใช้บริการเกินความจำเป็น ส่วนเงิน 2,000 ล้านบาท ก็จะช่วยจุนเจือสถานพยาบาลขนาดเล็กที่ประสบปัญหาขาดสภาพคล่องได้
ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ทีมยุทธศาสตร์ ด้านสาธารณสุข พรรคเพื่อไทย ให้ข้อมูลระหว่างหาเสียงเลือกตั้งว่า ตั้งแต่มีการยกเลิกเก็บเงิน 30 บาท ทำให้ผู้ป่วยเข้าไปใช้สิทธิรักษาพยาบาลมากขึ้น จากสถิติพบว่าขณะเก็บเงิน 30 บาท มีผู้ใช้บริการประมาณ 140 ล้านครั้งต่อปี ขณะที่เมื่อยกเลิกเก็บเงินมีผู้ใช้บริการถึง 200 ล้านครั้งต่อปี
กระทั่ง นพ.วินัย สวัสดิวร เลขาธิการสปสช. ก็ยังรับลูกนโยบายว่า ระบบของสปสช.มีความพร้อมที่จะดำเนินการเก็บเงิน 30 บาทได้ทันที และการเก็บสมทบจะทำให้ประชาชนรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า ไม่ได้เป็นผู้ป่วยอนาถา แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลจำเป็นต้องชี้แจงกับประชาชนให้เข้าใจว่า การเก็บเงิน 30 บาทจากประชาชนจะดีกว่าโครงการเดิมอย่างไร
นอกจากนี้รัฐบาลยังต้องเร่งพัฒนาระบบการให้บริการสาธารณสุข โดยเฉพาะปัญหาการขาดแคลนบุคคลกรทางการแพทย์ ที่รัฐบาลใหม่จะต้องเร่งดำเนินการแก้ปัญหาให้เร็วที่สุด เพื่อทำให้ประชาชนทุกคนเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ดี
แน่นอนว่า หากการเก็บเงินค่ารักษาพยาบาลครั้งละ 30 บาท สามารถจำกัดการใช้บริการเกินความจำเป็น และลดภาระของแพทย์ได้โดยที่ประชาชนไม่เดือดร้อน ก็ควรได้รับการสนับสนุน ทว่าก็ไม่อาจปฏิเสธข้อเท็จจริงจากความคิดเห็นในมุมกลับได้
นพ.วิชัย โชควิวัฒน์ กรรมการสปสช. ระบุว่า ยังไม่มีข้อมูลวิชาการใดๆ ที่ชี้วัดว่าการเก็บเงิน 30 บาท จะส่งผลให้ปริมาณการใช้บริการทางการแพทย์ลดน้อยลง และความถี่ที่เพิ่มขึ้นในช่วงยกเลิกเก็บ 30 บาทก็ไม่สามารถนำมาอ้างอิงได้ นั่นเพราะมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลให้การใช้บริการมากขึ้น
อาทิ สถานพยาบาลที่เพิ่มขึ้น คมนาคมที่สะดวกขึ้น ทำให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้มากขึ้น
ขณะที่ น.ส.สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค หนึ่งในภาคีภาคประชาชนที่เคลื่อนไหวด้านสาธารณสุข คัดค้านการเก็บ 30 บาท และนิยามแนวทางการดำเนินนโยบายนี้ว่า “เดินถอยหลัง”
นั่นเพราะขณะนี้ประเทศไทยมีระบบหลักประกันสุขภาพที่ให้การรักษาฟรีแก่ประชาชน ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 80 (2) บัญญัติไว้ว่า “รัฐต้องส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาระบบสุขภาพที่เน้นการสร้างเสริมสุขภาพอันนำไปสู่สุขภาวะที่ยั่งยืน ของประชาชน รวมทั้งจัดและส่งเสริมให้ประชาชนได้รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานอย่าง ทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ ...”
“ตอนนี้มีการรักษาฟรีอยู่แล้ว ถ้ากลับไปเก็บเงินอีกครั้งเท่ากับเดินถอยหลัง รัฐบาลควรที่จะผลักดันให้เกิดการรักษาฟรีในทุกระบบประกันสุขภาพมากกว่า” โฆษกชมรมพิทักษ์สิทธิผู้ประกันตนรายนี้ระบุ
ด้าน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ อดีตรมว.สาธารณสุข ผู้ดำเนินนโยบายนโยบายบัตรประชาชนใบเดียว รักษาฟรีทั่วประเทศ 48 ล้านคน ซึ่งสานต่อมาจากรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เห็นว่า เป็นสิทธิ์ของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะต้องบริหารงานให้เป็นไปตามนโยบายที่ได้หา เสียงเลือกตั้งไว้กับประชาชน แต่การนำนโยบาย 30 กลับมาจะเป็นการย้อนกลับไปยังจุดเดิม ทั้งๆ ที่ประเทศไทยผ่านจุดนั้นมาแล้ว
ดอกไม้และก้อนอิฐถูกโยนออกมาจากหลากหลายภาคส่วน จับสัญญาณล่าสุดจาก 2 รัฐมนตรีกระทรวงหมอ พรรคเพื่อไทย ยังเดินหน้านโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคแน่
แต่อย่างที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น มีเพียงความชัดเจนระดับกระพี้เท่านั้น สำหรับนโยบายนี้
นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้รายละเอียดการดำเนินนโยบายเพียงว่า ที่ผ่านมามีรายละเอียดการเก็บ 30 บาทอยู่แล้ว จากนี้เหลือแค่ทำแผนปฏิบัติอย่างเดียว อย่างไรก็ตามเบื้องต้นจะให้ประชาชนบางกลุ่มร่วมจ่าย ส่วนบุคคลที่กฎหมายกำหนดให้สิทธิรักษาพยาบาลฟรี อาทิ เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ ก็ยังคงให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเช่นเดิม
“บางอย่างถ้าฟรีทุกเรื่องจะไม่มีความหมาย”รัฐมนตรีวิทยาระบุ
ขณะที่ นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น รมช.สาธารณสุข อธิบายเพิ่มว่า ศักยภาพของรัฐบาลในขณะนี้สามารถให้บริการรักษาพยาบาลฟรีแก่ประชาชนได้ แต่จุดยืนการนำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาอีกครั้ง เนื่องจากต้องการสอนให้พลเมืองตระหนักถึงการมีส่วนร่วม โดยการร่วมจ่าย ร่วมทำ ร่วมกันดูแลรักษาเป็นหน้าที่ของทุกคน ไม่ใช่ใครคนหนึ่ง
"การบริโภคต้องคำนึงถึงหลักการและเหตุผล ถ้าให้บริโภคอย่างสุรุ่ยสุร่ายโดยไม่คำนึงถึงความพอดี ท้ายที่สุดมันก็จะสำรอกออกมา"นาย ต่อพงษ์เปรียบเปรย รมช.สาธารณสุขรายนี้ ยังวิพากษ์กลไกของ สปสช. อีกว่า สปสช.นับเป็นเครื่องมือหนึ่งในการผลักดันนโยบายรัฐบาลสู่การปฏิบัติ จึงต้องมีกลไกที่เอื้อต่อภาครัฐ แต่หากเครื่องมือเหล่านั้นมีปัญหาหรือเป็นอุปสรรค รัฐบาลก็ต้องใช้อำนาจแก้ไขหรือแก้ พ.ร.บ.เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจบานปลายในอนาคต
"ถ้ามีเวลาผมจะใช้เหตุผลไปอธิบายให้คนชุดเดิมเหล่านี้เข้าใจถึงนโยบายพรรคเพื่อไทย"
อย่างไรก็ดี ต่อพงษ์ ยืนยันว่า รัฐบาลเพื่อไทยจะเพิ่มงบประมาณให้กับ สปสช.ซึ่งจะทำให้หน่วยบริการได้รับงบเหมาจ่ายรายหัวสูงขึ้น แต่ท้ายที่สุดย่อมขึ้นอยู่กับคณะกรรมการวิสามัญพิจารณางบประมาณว่าจะอนุมัติ วงเงินเท่าใด ที่สำคัญต้องศึกษาต่อไปว่าหากเพิ่มงบแล้วโรงพยาบาลยังเกิดปัญหาขาดสภาพคล่อง แสดงถึงการบริหารจัดการที่ไม่ดีหรือไม่
ข้อเท็จจริงในนาทีนี้คือ การนำนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคกลับมาอีกครั้ง ยังไม่มีความชัดเจนใดๆ และยังไม่มีคำอธิบายจากปากของผู้นำประเทศหรือผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขว่า ประชาชนจะได้อะไรมากกว่าศักดิ์ศรี
นอกจากนี้ จับกระแสสังคมแล้วยังไม่พบสัญญาณใดจากประชาชนที่ต้องการให้กลับมาเก็บเงิน 30 บาทอีกครั้งหรือไม่ หากรัฐบาลยังเดินหน้าต่อไปอย่างที่ได้ประกาศไว้ โปรดอย่าทำให้ประชาชนต้องตกอยู่ในสภาพยอมจำนน เพียงเพราะพรรคเพื่อไทยต้องการเดินออกจากเงาพรรคประชาธิปัตย์ ด้วยการผลิตซ้ำทางนโยบายขึ้นมาอีกครั้งโดยไร้เหตุผล