- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- พิสูจน์ยืนยัน “ชนกลุ่มน้อย”เผ่ากะหร่าง แท้จริง “กะเหรี่ยงดั้งเดิม”ถูกผลักดันจากป่าแก่งกระจาน
พิสูจน์ยืนยัน “ชนกลุ่มน้อย”เผ่ากะหร่าง แท้จริง “กะเหรี่ยงดั้งเดิม”ถูกผลักดันจากป่าแก่งกระจาน
พิสูจน์ยืนยัน “ชนกลุ่มน้อย”เผ่ากะหร่าง แท้จริง “กะเหรี่ยงดั้งเดิม”ถูกผลักดันจากป่าแก่งกระจาน
ปฏิบัติการอพยพ ผลักดัน จับกุมชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาบุกรุกพื้นที่ ตัดไม้ทำลายป่าตามแนวชายแดนไทย-พม่า ซึ่งเป็นโครงการของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ดำเนินการมาตั้งแต่กลางปี 2553- มิถุนายน 2554 ต่อเนื่องมาถึงการขยายผลของหน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ กองกำลังสุรสีห์ จนเกิดเหตุการณ์สลดใจเมื่อเฮลิคอปเตอร์ตกถึง 3 ลำในระยะเวลาเพียง 9 วัน มีผู้เสียชีวิตถึง 17 คน ทำท่าว่าจะเป็นเรื่องยาวไม่จบลงง่ายๆ
อาจจะถึงมีการฟ้องศาลปกครองเป็นคดีตัวอย่างกรณีการใช้อำนาจหน้าที่ของข้าราชการกระทำต่อประชาชน หากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ปรากฎว่าปฏิบัติการของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน มีการใช้มาตรการรุนแรงผลักดันออกจากถิ่นที่อยู่ ถึงขั้นเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สินของประชาชน อันเป็นกระทำที่ป่าเถื่อน ไร้มนุษยธรรม และไม่มีกฎหมายฉบับใดให้อำนาจให้กระทำเช่นนั้น
“การฟ้องทำได้สองวิธีคือ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเป็นผู้ยื่นฟ้อง กับชาวบ้านร่วมกันฟ้อง โดยนักกฎหมายจากสภาทนายความเข้าไปให้ความช่วยเหลือ” นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติ และผู้พลัดถิ่น กล่าวกับผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิสรา
ที่มาของเรื่องดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดันออกจากป่าแก่งกระจาน ได้ทำหนังสือร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ ขณะที่ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กล่าวชี้แจงคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนหลายครั้งว่า ปฏิบัติการดังกล่าวกระทำตามอำนาจหน้าที่เพื่อปกป้องอนุรักษ์ป่า ผู้ถูกผลักดันเป็นชาว “กะหร่าง”จากประเทศเพื่อนบ้าน เกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวถธและยาเสพติด และไม่ได้ เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สินของคนเหล่านั้น มีการเผาบ้านจริงก็เป็นการเผาบ้านที่ไม่มีคนอยู่อาศัยและรื้อทิ้งไว้เท่านั้น
ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีความคืบหน้าของการตรวจสอบข้อเท็จจริง และเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในพื้นที่ “แก่งกระจาน” ซึ่งสำนักข่าวอิศรา สรุปได้ดังนี้
สรุปผลการตรวจสอบเบื้องต้น สภาทนายความ
คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้ง 2 คณะได้เดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว แต่ยังไม่สรุปว่าจะดำเนินการใดๆต่อไป โดยประเด็นหลักที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง สภาทนายความ ตั้งประเด็นหลักไว้ตรงกันคือ
1.ชนกลุ่มน้อยผู้ถูกผลักดันคือใคร เป็นชาว “กะหร่าง”ตามที่ระบุในโครงการณ์ปฎิบัติการของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หรือเป็นชาว “กะเหรี่ยงดั้งเดิม”ในป่าแก่งกระจาน ซึ่งถือเป็นคนไทย
2. ได้มีการใช้ความรุนแรงเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สินผู้ถูกผลักดันจริงตามหนังสือร้องเรียนหรือไม่
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ฯ สภาทนายความ หัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งนำนักกฎหมายไปสอบสวนข้อเท็จจริงในพื้นที่ ระหว่างวันที่ 3-4 กันยายน ที่ผ่านมา และได้ประชุมคณะทำงานเมื่อเร็วๆนี้กล่าวว่า จะเดินทางลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงอีก เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม เนื่องจากการร้องเรียนระบุถึงการเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สิน โดยข้อสรุปเบื้องต้น ผู้ถูกผลักออกจากป่าแก่งกระจานนั้นคือกะเหรี่ยงดั้งเดิมนั่นเอง ผู้ถูกผลักดันประมาณ 10 ครอบครัว จำนวน 39 คน ออกจากป่าก็มาอยู่กับญาติพี่น้องที่บ้านโป่งลึก บางกลอย ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี
“ชาวกะเหรี่ยงกลุ่มนี้อยู่กันมานานเป็นร้อยปี ไม่มีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ไม่เกี่ยวข้องกับกองกำลังเคเอ็นยู”
นายสุรพงษ์ ให้ข้อมูลด้วยว่า ปี 2539 เคยมีโครงการอพยพชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมออกจากป่าแก่งกระจาน บริเวณต้นน้ำเพชรบุรีที่เรียกกันว่าบางกลอยบน ตามโครงการป้องกันการบุกรุกพื้นที่ป่าต้นน้ำถาวรของชาวไทยภูเขา ดำเนินโครงการโดยอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 29 และจังหวัดเพชรบุรี มีชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิม 57 ครอบครัว จำนวน 391 คนอพยพลงมา โดยทางการได้จัดสรรที่ดินให้ครอบครัวละ 7 ไร่ และตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่คือบ้านบางกลอยหมู่ 1 และบ้านโป่งลึก หมู่2
แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีประมาณ 25 ครอบครัวไม่ได้รับการจัดสรรที่ทำกิน ประกอบกับพื้นที่จัดสรรให้ไม่สามารถทำกินได้ ครอบครัวจำนวนหนึ่งจึงย้ายกลับเข้าไปในป่าบางกลอยบน ดำเนินชีวิตแบบดั้งเดิมอีก จนมีการดำเนินการภายใต้โครงการอพยพผลักดัน/จับกุม ชุมชนกลุ่มน้อยที่เข้ามาบุกรุกพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย–พม่า ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่มีการปฏิบัติการทั้งสิ้น 6 ครั้ง (เมษายน 2553 – กรกฎาคม 2554)
“ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมเดิมเหล่านี้ มีสิทธิตามรัฐธรรมนูญ ในมาตราที่ 66 และ 67 ในการอยู่อาศัยและกำหนดวิถีชีวิตของตนเอง รวมทั้งการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในบริเวณนั้น” นายสุรพงษ์ กล่าว
พยานยืนยัน “กะเหรี่ยงเป็นคนไทย”ถูกยิงตาย
วันที่ 10 กันยายน เกิดเหตุฆาตกรรม คนร้ายไม่ทราบจำนวนขับรถยนต์ติดตามนายทัศน์กมล โอบอ้อม หรือ “อาจารย์ป๊อด” อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นผู้เคลื่อนไหวต่อสู้เพื่อชาวกะเหรี่ยงป่าแก่งกระจาน ใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตคารถยนต์ ท้องที่อำเภอบ้านลาด จังหวัดเพชรบุรี ก่อนหน้านี้ นายทัศน์กมลได้ออกมาเคลื่อนไหว แสดงข้อมูลหลักฐานว่าผู้ถูกผลักดันเป็นชาวกะเหรี่ยงในประเทศไทย และเป็นผู้พาชาวกะเหรี่ยงบางคนเดินทางมาแสดงตัว ร่วมในงานเสวนาประเด็นชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานถูกผลักดัน ที่กรุงเทพฯ ก่อนถูกยิงเสียชีวิตเพียงแค่ 2 วัน
นายทัศน์กมล ยังเป็นผู้เคลื่อนไหวร่างหนังสือถวายฎีกาขอพระราชทานความช่วยเหลือให้ชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน โดยประสานงานกับ นายดุลสิทธิ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา หลานตาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล ซึ่งยืนยันว่า ปู่โคอี้ หรือนายโคอี้ มี่มิ อายุ 103 ปี ผู้ที่ถูกผลักดันลงมานั้นเป็นพระสหายกับตา แต่ยังไม่ทันได้รายมือชื่อก็ถูกยิงเสียชีวิต
คดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งประเด็นสาเหตุการถูกฆาตกรรมไว้หลายประเด็น โดยให้น้ำหนักประเด็นการเกี่ยวข้อง เคลื่อนไหวช่วยเหลือชาวกะเหรี่ยงมากที่สุด โดยได้ทัศน์กมลได้กล่าวไว้ก่อนเสียชีวิตว่า จะแฉเบื้องหลังอันลึกลับซับซ้อนที่ไม่มีใครรู้ในป่าแก่งกระจาน
พระราชินีพระราชทานสิ่งของ-เงินส่วนพระองค์ช่วยเหลือ
วันที่ 14 กันยายน ที่บ้านโป่งลึก ต.ห้วยแม่เพรียง ได้มีพิธีมอบสิ่งของเครื่องใช้ ทรัพย์ส่วนพระองค์ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ พระราชทานผ่านมายังหน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ กองกำลังสุรสีห์ มอบให้ชาวกะเหรี่ยงผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกผลักดัน จำนวน 10 ครอบครัว เป็นถุงยังชีพพระราชทาน จำนวน 20 ถุง พระบรมฉายาลักษณ์ จำนวน 10 ภาพ และเงินพระราชทานครอบครัวละ 5,000 บาท ส่วนปู่โคอิ้ มี่มิ ผู้เฒ่าอายุ 10 3 ปี ซึ่งเป็นผู้ที่ชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานให้ความเคารพนับถือ ยังได้รับสังกะสี จำนวน 70 แผ่น เพื่อมาซ่อมแซมหลังคาบ้านที่อาศัยอยู่
พิธีมอบสิ่งของพระราชทานครั้งนี้เนื่องมาจาก สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ทรงทราบถึงปัญหาที่มีชาวกะเหรี่ยงถูกผลักดันออกจากป่าแก่งกระจานลงมาอยู่ในพื้นที่ บ้านโป่งลึก บ้านบางกลอย แม่ทัพภาคที่ 1 จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาสำรวจ รวบรวมรายชื่อ ผู้ที่ถูกผลักดัน และตรวจสอบความเดือดร้อน จากนั้นได้พระราชทานความช่วยเหลือชาวกะเหรี่ยงเหล่านี้
นักวิชาการกฎหมายชี้เหตุผล “กะเหรี่ยงดั้งเดิม”
น.ส.ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ซึ่งลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงและสอบปากคำผู้เสียหายจากการถูกเจ้าหน้าที่รัฐ เผาทำลายบ้านและยุ้งฉางของกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดัน ได้เขียนสรุปบันทึกจากการสัมภาษณ์ ตรวจสอบเอกสาร หลักฐานต่างๆในเบื้องต้น เห็นว่าน่าจะมี 7 ประเด็น ที่อาจยืนยันได้ถึงความเป็นชุมชนกะเหรี่ยงดั้งเดิมแห่งบางกลอย(แก่งกระจาน) โดยมีประเด็นหลักฐานทางเอกสารของทางการ และพยานบุคคลชัดเจน ซึ่งสำนักข่าวอิศรา ยกมาเป็นบางส่วนเฉพาะที่สำคัญ ดังนี้
ที่เป็นหลักฐานทางเอกสารของทางราชการคือ เอกสารทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้าน จัดทำโดยศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขา จังหวัดกาญจนบุรี กรมประชาสงเคราะห์ เดือนเมษายน 2531 ประกอบกับการสัมภาษณ์ นายพันธ์ทิพย์ เจริญวัย อดีตเจ้าหน้าที่กรมประชาสงเคราะห์ ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกาญจนบุรี ในการสำรวจพื้นที่ “ใจแผ่นดิน”และ “บ้านบางกลอย” ในปี 2528 เวลานั้น กรมประชาสงเคราะห์ ได้รู้ข่าวว่าบริเวณดังกล่าวมีชุมชนกะเหรี่ยงอาศัยอยู่
“ในเวลานั้นนายพันธ์ทิพย์ได้เดินเท้าจากบ้านพุระกำ (อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี) เข้าทางต้นน้ำลำพาชี ผ่านสันปันน้ำและเดินลงมาทางต้นน้ำบางกลอย โดยมีคนกะเหรี่ยงที่ทำหน้าที่ทั้งเป็นลูกหาบและคนนำทางคือ “นายกระทง จีโบ้ง” เท่าที่เดินเท้าไปพบ เขาพบบ้านเพียงหนึ่งหลังที่ใจแผ่นดิน มีคนอาศัยอยู่ด้วยกันประมาณ 12 คน ส่วนที่บางกลอย มีคนกะเหรี่ยงตั้งบ้านเรือนอยู่กระจัดกระจายตามลำห้วยลำน้ำ บางจุดตั้งบ้านเรือนเพียงหนึ่งหลัง บางจุดตั้งบ้านเรือนใกล้ๆ กัน 3-4 ครอบครัว”
“ในปี 2531 ภายใต้โครงการสำรวจข้อมูลประชากรชาวเขา หรือโครงการสิงห์ภูเขา (เป็นการสำรวจชาวเขาตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2527) โดยมีส่วนราชการหลายหน่วยงานร่วมกันสำรวจ โดยมีกรมประชาสงเคราะห์เป็นหน่วยงานหลักในการสำรวจและจัดทำ ทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้าน หรือท.ร.ช.ข. พื้นที่ ใจแผ่นดิน บางกลอยเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ศูนย์พัฒนาและสงเคราะห์ชาวเขาจังหวัดกาญจนบุรี ต้องดูแล ครั้งนั้น นายพันธ์ทิพย์ได้ร่วมทีมสำรวจ โดยมีนายสมจิต กว่าบุ เป็นผู้นำทาง พบว่าในเวลานั้นสภาพการสร้างบ้านเรือนของกะเหรี่ยงใจแผ่นดิน บางกลอยยังมีสภาพเหมือนเดิม โดยส่วนใหญ่จะรู้จักกัน เป็นญาติกัน ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นชุมชนที่นอกจากจะเชื่อมโยงกันด้วยวิถีชีวิต จารีตประเพณีและวัฒนธรรมแล้ว ยังเชื่อมโยงกันด้วยความเป็นเครือญาติอีกด้วย”
เท่าที่ตรวจสอบจากเอกสารคือสำเนา ท.ร.ช.ข. ที่ถูกจัดทำขึ้นในปี 2531 ในเบื้องต้นพบว่ามีจำนวน 8 เล่ม(แฟ้ม) ด้วยกัน ในเวลานั้นพื้นที่เหล่านี้ขึ้นกับกิ่งอำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีประกอบไปด้วยบางกลอย 1 บางกลอย 2 บางกลอย 3 บางกลอย 4 บางกลอย 5 บางกลอย 6 บ้านโป่งลึก 1 และบ้านโป่งลึก 2 รวมแล้ว 71 ครอบครัว 367 คน” เอกสารบันทึกของอาจารย์ดรุณี ระบุ
นอกจากนี้ ในเอกสารก็ระบุชัดเจนว่าชาวกะเหรี่ยง 71 ครอบครัว 367 คนได้รับการบันทึกชื่อตัวเองและสมาชิกในครอบครัวว่าเกิดที่จังหวัด “ เพชรบุรี ประเทศไทย เผ่า “กะเหรี่ยง” ศาสนา “ผี”
นายกระทง จีโบ้ง คนนำทางให้เจ้าหน้าที่เมื่อปี 2528 ปัจจุบันคือ นายกระทง โชควิบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านบางกลอย หมู่ 1 ซึ่งเป็นผู้หนึ่งที่ยืนยันว่า “ชนกลุ่มน้อย”ที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกล่าวอ้างก็คือชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในป่าแก่งกระจานนั่นเอง
นอกจาก นายกระทง โชควิบูลย์ ผู้ใหญ่บ้านบางกลอยหมู่ 1 นายลอย จีโบ้ง ผู้ใหญ่บ้านโป่งลึกหมู่ 2 และนายนิรันดร์ พงษ์เทพ ประธานสภา อบต.ห้วยแม่เพรียง ได้ให้ข้อมูลกับอาจารย์ดรุณีว่า ชาวกะเหรี่ยงบ้านใจแผ่นดิน บางกลอย เกิดและอาศัยอยู่ในประเทศไทยมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ไม่เคยมีการอพยพโยกย้ายไปไหน มีการเดินทาง (เท้า)บ้าง ก็เพื่อเยี่ยมญาติหรือไปรับจ้างที่อื่น
ยกเว้นเฉพาะการถูกทางการให้อพยพโยกย้ายมาจัดสรรที่ทำกินให้ในปี 2539 ซึ่งบางส่วนพากันกลับเข้าไปอยู่ในป่าตามเดิมเพราะไม่มีที่ทำกิน หรือที่ทำกินเพาะปลูกตามวิถีชีวิตดั้งเดิมไม่ได้ อีกครั้งหนึ่งก็คือการถูกอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานปฏิบัติการอพยพ ผลักดัน จับกุม “ชนกลุ่มน้อย” ที่บุกรุกทำลายป่าตามแนวชายแดนไทย-พม่า ครั้งล่าสุดระหว่างกลางปี 2553 -2554
กสม.ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง
นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง จากการร้องเรียนของชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดัน ระหว่างวันที่ 14-16 กันยายน ที่ผ่านมา โดยรับฟังข้อเท็จจริงจากนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งให้ข้อมูลว่าชนกลุ่มน้อยผู้ถูกผลักดันเป็นชาวกะหร่างจากนอกประเทศ ผู้บุกรุกตัดไม้ทำลายป่าและปลูกกัญชา ขณะที่ชาวกะเหรี่ยงให้ข้อมูลว่าเป็นชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในป่าแก่งกระจาน อยู่กันมานานตั้งแต่บรรพบุรุษนานนับร้อยปีแล้ว โดยข้อมูลที่ได้รับจะมีการสรุปหลังจากการลงพื้นที่ประมาณ 1 เดือน
“ เราต้องสรุปในเรื่องสิทธิของความเป็นชุมชนดั้งเดิม การเผาทำลายบ้านเรือนและยุ้งข้าว คือ การทำลายทรัพย์สินส่วนบุคคลซึ่งทางเจ้าหน้าที่ไม่มีอำนาจในการทำเช่นนั้นได้ แม้จะมีการอ้างมาตรา 22 ของกฎหมายอุทยานแห่งชาติและการโยกย้ายคนลงมายังพื้นที่ที่จัดสรรเป็นการ ทำลายวิถีทางวัฒนธรรมดั้งเดิม เมื่อคนอยู่ไม่ได้ บางส่วนจึงย้ายกลับขึ้นไปอยู่ยังที่เดิมหรือบางส่วนออกไปรับจ้างอันเป็น ทำลายสิทธิชุมชนซึ่งทางราชการไม่มีความเข้าใจในส่วนนี้” นพ.นิรันดร์ กล่าวกับสื่อมวลชน
ประเด็นชนกลุ่มน้อยผู้ถูกผลักดันว่าเป็นใคร ทั้งในส่วนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริง สภาทนายความ จึงสรุปเบื้องต้นได้ว่าคือชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในป่าแก่งกระจานนั่นเอง รอการพิสูจน์ยืนยันสถานะทางกฎหมาย ส่วนประเด็นมีการใช้ความรุนแรงเผาบ้าน เผายุ้งข้าว และทำลายทรัพย์สินของผู้ถูกผลักดันหรือไม่ อยู่ระหว่างการหาพยาน หลักฐาน