- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- สร้างค่านิยมใหม่.. หนทางเดียว...ต่อต้านทุจริต
สร้างค่านิยมใหม่.. หนทางเดียว...ต่อต้านทุจริต
หลายเดือนก่อน...แวดวงต่อต้านการทุจริตคอรัปชั่นถึงกับเกิดอาการ ช็อก เมื่อสำนักวิจัยแห่งหนึ่งออกมาเสนอผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนตั้งแต่อายุ 16-80 ปี เกี่ยวกับการทุจริตกับค่านิยมของคนไทย
ผลสำรวจพบว่า กว่าร้อยละ 65.8 คิดว่า “รัฐบาลทุกรัฐบาลมีทุจริตคอรัปชันทั้งนั้น แต่ถ้าทุจริตคอรัปชันแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรือง ประชาชนกินดีอยู่ดี ก็พอยอมรับได้”
เรื่องนี้ “กล้านรงค์ จันทิก” หนึ่งในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ถึงกับออกอาการควันออกหู
เปลาะแรกเขาเห็นว่า ผลสำรวจดังกล่าวอาจเป็นการชี้นำมากเกินไป อีกเปราะหนึ่งก็อาจทำให้เห็นว่า ปัญหาทุจริตเป็นเรื่องที่ใครๆ ในสังคมยอมรับและเห็นว่า เป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว
“หากประชาชนส่วนใหญ่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกับผลสำรวจก็ถือว่า เป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะเท่ากับว่า คนไทยเห็นเรื่องทุจริตเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้ ทั้งที่ความจริงผลสำรวจนั้นเป็นความคิดเห็นของคนแค่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น ผมเห็นว่า การทำผลสำรวจไม่ควรตั้งคำถามที่ชี้นำมาเกินไป ผู้ทำการสำรวจสามารถตั้งคำถามอย่างอื่นที่สร้างสรรค์ได้ เพราะความจริงรัฐบาลที่ทุจริตหรือผู้นำที่ทุจริตไม่สามารถทำให้ประเทศชาติ เจริญรุ่งเรืองได้”กล้านรงค์ กล่าวด้วยเสียงเข้ม
กล้านรงค์ กล่าวยอมรับว่า การทุจริตคอรัปชั่นในสังคมไทยยังคงมีอยู่ แต่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ โดยสามารถดูได้จากบริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงทางการเมืองและเศรษฐกิจ หรือ เพิร์ก ก็ระบุว่า สถานการณ์ทุจริตในเมืองไทยดีขึ้นเป็นลำดับ โดยปี 2554 มีความน่าเชื่อถือดีขึ้นเป็นอันดับ 11 จากปีก่อนที่อยู่อันดับที่ 12 ใน 16 ประเทศ
แม้ดัชนีความน่าเชื่อถือของเมืองไทยจะดีขึ้น ทว่า “กล้านรงค์” ยังบอกว่า ไม่ควรวางใจ เพราะทุกแวดวงยังคงมีการทุจริตอยู่ แต่ ป.ป.ช. เองก็ไม่นิ่งนอนใจ โดยได้เร่งสร้างเครือข่ายและสร้างบุคลากรให้เกิดความเข้มแข็งเพื่อร่วมเป็น ทีมงานในการตรวจสอบและต่อต้านการทุจริตมากขึ้น
“สิ่งสำคัญ คือ สังคมไทยต้องร่วมมือกันทุกภาคส่วน ทั้งข้าราชการ ภาคเอกชน นักการเมือง สื่อมวลชน และภาคประชาชน หากทุกหน่วยงานหันหน้าเข้าหากันและร่วมสร้างค่านิยมใหม่ว่า ไม่ เอาคอรัปชั่น โดยคิดว่า เรื่องคอรัปชั่นเป็นเรื่องใกล้ตัว ถ้ามีการทุจริตบ้านเมืองก็จะไม่เจริญ ประชาชนจะไม่ได้นโยบายดีๆ รัฐบาล เช่น ไม่มีเงินสนับสนุนการใช้น้ำ-ไฟฟ้าฟรี หากทุกคนเห็นว่า เรื่องนี้ใกล้ตัวและร่วมกันต่อต้านก็จะทำให้เมืองไทยลดการคอรัปชั่นได้”
เขายังกล่าวอีกว่า นอกเหนือจากนั้นนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำรัฐบาลควรออกมาส่งเสริมและให้ความ คุ้มครองข้าราชการที่ร่วมมือต่อต้านการทุจริต โดยการสร้างขวัญและกำลังใจให้ข้าราชการทำงานได้อย่างเต็มที่ หากข้าราชการรายใดมีผลงานในการปราบปรามการทุจริตคอรัปชั่นควรปูนบำเหน็จหรือ ให้รางวัลเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีต่อแวดวงราชการ
กรรมการ ป.ป.ช. รายนี้ยังกล่าวย้ำว่า มั่นใจว่า พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ...ที่จะช่วยทำให้สถานการณ์การป้องกันและต่อต้านการทุจริตทำได้ดีขึ้น เพราะมีบทบัญญัติว่าด้วยการคุ้มครองพยาน ซึ่งจะเป็นปราการในการป้องกันที่ดีในอนาคต
ทางด้าน “ธนวรรธน์ พลวิชัย” ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในฐานะภาคีเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่น (ภตค.) กล่าวว่า จากที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับค่านิยมกับการทุจริตของสังคมไทยร่วมกับสำนักงาน ป.ป.ช. ไม่เคยคิดว่า ประชาชนยอมรับการทุจริต แต่พบข้อมูลว่า ในช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาคนไทยรู้สึกว่า สถานการณ์ทุจริตยังไม่ดีขึ้น แต่ก็มีความหวังมากขึ้น
“จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้คน มีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นมากกว่าครึ่งมีความหวังว่า การทุจริตจะหมดไปจากสังคมไทย ส่วนความคิดเห็นที่ว่า ยอมรับกับการทุจริต แต่ขอให้มีผลงานนั้นมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นการทำงานต่อต้านคอรัปชั่นเราจึงไม่ได้ยึดฐานข้อมูลจากการที่ประชาชน ยอมรับการทุจริต ทั้งนี้ก็ยอมรับว่า คนยังรู้สึกว่า การทุจริตในสังคมไทยยังมีความเข้มข้นอยู่”หนึ่งในเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่น กล่าว
อย่างไรก็ตามเขายังเห็นว่า การที่รัฐบาลประกาศเอาจริงเอาจังกับการปราบปรามคอรัปชั่นก็ดูเหมือนคนไทยมี ความหวังกับการต่อต้านทุจริตมากขึ้น แต่ประชาชนก็มีความกังวลถึงนโยบายของรัฐบาล อาทิ การจำนำข้าว โดยเห็นว่า อาจเป็นช่องทางทำให้เกิดการทุจริตขึ้นได้ ดังนั้นรัฐบาลต้องดำเนินนโยบายนี้อย่างโปร่งใส มิฉะนั้นจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความหวังของคนไทยได้”นักวิชาการราย นี้ กล่าว
ธนวรรธน์ ยังกล่าวอีกว่า จากประสบการณ์การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่นสำเร็จในหลายประเทศ อาทิ ไต้หวัน ฮ่องกง ฯลฯ ไม่สามารถทำได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่เป็นการสร้างความร่วมมืออย่างต่อเนื่องของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสื่อมวลชนค่อนข้างมีบทบาทกับเรื่องนี้มาก
เขา ยังกล่าวอีกว่า การสร้างเครือข่ายต่อต้านคอรัปชั่นจึงถือเป็นเรื่องสำคัญมากกับสังคมไทย เพราะหากทุกหน่วยงานจับมือกันก็จะเป็นแรงกดดันว่า คนในสังคมยอมรับการคอรัปชั่นไม่ได้ โดยขณะนี้ทางเครือข่ายได้ร่วมกันสร้างค่านิยมใหม่ให้กับเยาวชนกว่า 20 เครือข่ายเพื่อให้คนเหล่านี้เป็นเลือดใหม่สำหรับการต่อต้านคอรัปชั่น โดยสื่อที่ทางเครือข่ายฯ ใช้สื่อสารกับคนกลุ่มนี้ คือ การ์ตูนแอนนิเมชั่น ที่ว่าด้วยเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการคอรัปชั่น ซึ่งมีผลตอบรับค่อนข้างดี และในวันที่ 25 กันยายนนี้ทางเครือข่ายฯ จะร่วมกันรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้กับคนในสังคมเข้ามาร่วมเป็นเครือข่าย มากขึ้น
“การคอรัปชั่นจะน้อยลง ถ้าสื่อมวลชนช่วยกันสร้างกระแสให้ทุกคนตระหนักรู้ว่า เรื่องคอรัปชั่นเป็นเรื่องใกล้ตัว รวมทั้งกระทุ้งให้คนที่เตรียมจะคอรัปชั่นเกรงกลัวกับความผิดที่จะเกิดขึ้น ซึ่งการสร้างค่านิยมใหม่เพื่อไม่ให้คนสยบยอมต่อการคอรัปชั่นก็ถือเป็นเรื่อง หนึ่งที่ภาคประชาชนและภาคเอกชนคาดหวังจากสื่อมวลชน หากสื่อร่วมสร้างกระแสต่อต้านคอรัปชั่น ปรากฎการณ์ยอมๆ กันได้จะหมดไป”เขากล่าวอย่างเชื่อมั่น
เรื่องนี้เยาวชนอย่าง “ธิวัชร์ ดำแก้ว” นักศึกษาคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ เห็นว่า สังคมไทย โดยเฉพาะเยาวชนไม่ควรโอนอ่อนผ่อนตามค่านิยมผิดๆ ที่ว่า “โกงได้..ถ้าทำให้ชาติเจริญ” เพราะ การทำให้ชาติเจริญไม่จำเป็นต้องโกง เนื่องจากการบริหารประเทศนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรนำหลักธรรมาภิบาลมาใช้ ซึ่งหลักดังกล่าวไม่มีหลักที่ว่า ให้โกงได้ แต่ประเทศเจริญ
อย่างไรก็ตามเขากล่าวยอมรับว่า ในกลุ่มเพื่อนนักศึกษาก็มีคนเห็นว่า การทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องธรรมดา แต่คนที่มีหน้าที่ในการต่อต้านการทุจริตต้องสร้างค่านิยมใหม่ให้เขาไม่เชื่อ เช่นนั้น