- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- บทบาทสื่อมวลชนในการพัฒนาคุณภาพประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง
บทบาทสื่อมวลชนในการพัฒนาคุณภาพประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง
เมื่อเร็วๆนี้ มีเดียมอนิเตอร์ ร่วมกับ มูลนิธิ ฟรีดิช เอแบร์ท และ ศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง “บทบาทสื่อมวลชนในการพัฒนาคุณภาพประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง” ขึ้น และมีการแถลงผลการศึกษาเรื่อง “การทำงานของฟรีทีวีในการเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม 2554” และการเสนอความคิดเห็นในประเด็น “สื่อมวลชนควรแสดงบทบาทหน้าที่อย่างไร เพื่อพัฒนาคุณภาพประชาธิปไตย และการเลือกตั้ง” โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมรับฟังและสื่อมวลชนติดตามรายงานข่าว
ดร.เอื้อจิต เริ่มการเสวนาในประเด็นเรื่อง “สื่อมวลชนควรแสดงบทบาทหน้าที่อย่างไร เพื่อพัฒนาคุณภาพประชาธิปไตย และการเลือกตั้ง” เพื่อเป็นแนวทางการทำงานของสื่อในการเลือกตั้ง โดยแบ่งบทบาทสื่อออกเป็น 4 ช่วง ที่สำคัญ คือ ช่วงที่ 1 หลังยุบสภา สื่อฟรีทีวีควรให้ความสำคัญกับการเลือกตั้ง เพิ่มรายการพิเศษ สกู๊ปข่าว รายการวิเคราะห์ข่าว เพื่อให้ข้อมูลความรู้ที่สำคัญเกี่ยวกับการเลือกตั้ง และการสรุปปัญหาของเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา เพื่อให้ประชาชนเข้าใจถึงเหตุที่นำไปสู่การเลือกตั้ง ตลอดจนให้พื้นที่ภาคประชาชน นักวิชาการ และบุคคลที่เกี่ยวข้องทางการเมือง ได้นำเสนอความคิดเห็น ความต้องการ ข้อเสนอแนะ ในทางด้านการเมืองและการเลือกตั้ง
ช่วงที่ 2 คือ ระหว่างการหาเสียง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด สื่อควร ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน เช่น กฎระเบียบการเลือกตั้ง ข้อมูลพรรคการเมืองและผู้สมัคร รายงานผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนอย่างถูกต้อง ครบถ้วน ตามหลักวิชาการ และไม่ชี้นำความคิด มีการวิเคราะห์ เพื่อเปรียบเทียบนโยบายพรรคการเมือง และความเป็นไปได้ จัดพื้นที่หรือเวลาให้พรรคการเมืองต่างๆได้นำเสนอนโยบาย ความมุ่งมั่น หรือวิสัยทัศน์ทางการเมือง
สื่อควรให้พื้นที่หรือเวลาแก่ภาคประชาชนและองค์กรต่างๆ เพื่อนำเสนอปัญหา ความคิดเห็น เกี่ยวกับนโยบายพรรคการเมือง การตั้งคำถามแทนประชาชนเพื่อสร้างความชัดเจน ขจัดข้อสงสัย หรือตอบสนองความสนใจ ทั้งในข้อมูลเกี่ยวกับพรรคการเมือง นักการเมือง เหตุการณ์ทางการเมือง การรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการใช้สิทธิเลือกตั้ง และการสร้างทัศนคติที่ถูกต้องของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย
ช่วงที่ 3 คือ วันเลือกตั้ง สื่อควรรณรงค์ให้ประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งอย่างถูกต้องตามขั้นตอนและวิธีการตรวจสอบให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นไปอย่างโปร่งใส ถูกต้อง ยุติธรรม การตรวจสอบการทำหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและให้พื้นที่ภาคประชาชนเพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกลงคะแนนเสียง และความคาดหวังที่มีต่อบทบาทของผู้สมัครฯในการจัดตั้งรัฐบาล
ช่วงสุดท้าย คือ หลังการเลือกตั้ง ความสนใจมักเป็นเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล และการคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภา สื่อควรทำน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบัติรัฐมนตรีทั้งในส่วนของประวัติการศึกษา และประวัติการทำงาน การนำเสนอข้อมูล ความคิดเห็น หรือวิเคราะห์การจัดตั้งรัฐบาล โดยยึดประโยชน์ประชาชนเป็นสำคัญ การเชื่อมโยงนโยบายกับความเป็นจริงในทางปฏิบัติโดยเฉพาะการบริหารของหน่วยงานระดับกระทรวง โดยแหล่งข้อมูล คือ ข้าราชการเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และการให้พื้นที่ภาคประชาชนได้เสนอปัญหาต่างๆที่รอการแก้ไข รวมทั้งข้อสงสัย และข้อเสนอต่อนโยบายพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้ง
จากนั้น ดร. เอื้อจิต สรุปภาพรวมของ การศึกษาการรายงานข่าวเลือกตั้ง ’54 ว่า ฟรีทีวีไทยยังรายงานข่าวอย่างเน้นการเมืองในมิติของ “นักการเมือง” มากกว่าการเมืองของประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง การทำงานเช่นนี้ตอกย้ำบทบาทของประชาชนให้เป็นเพียง “ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง” (voter) เท่านั้นหาใช่ “พลเมืองในระบอบประชาธิปไตย” และบทบาทประชาชนในกระบวนการประชาธิปไตยสิ้นสุดที่การลงคะแนนเสียง หลังจากนั้นกระบวนการประชาธิปไตยตกเป็นของ “นักการเมือง”
นอกจากนี้ ข่าวฟรีทีวีไทยยังคงเน้นรายงานข่าวความเคลื่อนไหวและความคิดเห็นของนักการเมือง แม้ว่าฟรีทีวีทุกช่องจะให้ความสำคัญกับข่าวความเคลื่อนไหวและการสัมภาษณ์ความเห็นของนักการเมืองเป็นหลัก แต่ก็พบว่าบางช่องได้แบ่งพื้นที่เพื่อรายงานข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่การตัดสินใจของประชาชนผู้มีสิทธิแต่นำเสนอในสัดส่วนที่น้อยกว่า และในภาพรวม ฟรีทีวีรายงานข่าวอย่างเน้นสมดุลพรรคการเมืองใหญ่ 2 พรรคแต่ขาดสมดุลข่าวสารจากพรรคการเมืองขนาดเล็ก เน้นข่าวนักการเมืองในระดับแนวหน้า เช่น หัวหน้าพรรค รองหัวหน้าพรรค และนักการเมืองที่สร้างสีสัน
ดร.เอื้อจิต สรุปว่าสื่อมีปัญหาการรายงานข่าวโดยยึดติด 7 กรอบลักษณะ คือ 1.รายงานปรากฏการณ์ย่อย (fragmented) เนื้อหาข่าวการเมืองมักถูกนำเสนอเป็นเหตุการณ์ย่อยรายวัน ผู้ชมไม่ทราบที่มาที่ไปของเหตุการณ์ 2.ลดปมขัดแย้งทางการเมืองเหลือเพียงเรื่องส่วนตัว/คู่ขัดแย้ง (privatization/conflict) ข่าวการเมืองมักมีจุดขายที่ความขัดแย้งโดยเน้นการรายงานคำให้สัมภาษณ์ของคู่ตรงข้ามทางการเมือง 3.นำเสนออย่างเสมือนละคร เน้นเร้าอารมณ์ (dramatization) ประเด็นข่าวชูความขัดแย้งเหมือนละครที่มีตัวดีและตัวร้าย มีความลึกลับ ซ่อนเงื่อน 4.เลียนแบบ/คัดลอก (copy cat) ประเด็นข่าวมีลักษณะเหมือนกัน แหล่งข่าวเดียวกัน หรือมีคำถามที่คล้ายคลึงกัน 5.ขาดการเป็นพื้นที่สาธารณะ/พื้นที่สาธารณะเทียม (pseudo public sphere) สื่อไม่ค่อยมีรายการพิเศษที่พื้นที่ให้ประชาชนได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นหรือความต้องการ ส่วนใหญ่เป็นเพียงการนำเสนอความคิดเห็นผ่าน Vox Pop สั้นๆ 6.ไม่ยึดมาตรฐาน-จรรยาบรรณวิชาชีพ (Un-professional) เนื้อหาข่าวการเมืองช่วงก่อนเลือกตั้งมักมีประเด็นปัญหาเรื่องการชี้นำความคิด นักการเมืองกลายเป็นผู้กำหนดประเด็นข่าว การตั้งคำถามไม่เข้าสู่ประเด็นสำคัญต่อสาธารณะ ขาดการตั้งคำถามเชิงนโยบายและการรายงานข่าวเชิงลึก 7.เลือกข้าง แบ่งฝ่าย ฝักใฝ่กลุ่มการเมือง (partisan) สื่อนำเสนอข่าว บทความ บทวิเคราะห์ที่เอนเอียง มีอคติ ขาดความสมดุล เป็นธรรม
จากนั้นวิทยากรผู้เข้าร่วมการเสวนาได้ร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองในมุมมองต่างๆดังนี้
“สื่อไทยไม่ทำหน้าที่ให้ความรู้พลเมือง”
นายมาร์ค ศักซาร์ ผู้อำนวยการมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ประจำประเทศไทย อธิบายภาพระบบความซับซ้อนในวิกฤตการเมืองไทยในห้วงหลายปีที่ผ่านมา ว่า กำลังเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยให้มีลักษณะแบนราบมากขึ้น แตกต่างจากแต่ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงเป็นไปในแนวทางดิ่ง และจากบนลงล่าง
เราไม่อาจทำความเข้าใจกับปัญหาและระบบสื่อในมุมมองเดิมได้อีกแล้ว ทุกอย่างซับซ้อนมากขึ้น และมีอุปสรรแวดล้อมกดดันสื่อมากขึ้น บทบาทสื่อสำคัญมากในกระบวนการประชาธิปไตยทุกขั้นตอน ตั้งแต่การควบคุม ตรวจสอบ ปรึกษาหารือ การสร้างความชอบธรรมทางการเมือง เหล่านี้ยังรวมทั้งการให้ความรู้แก่พลเมือง เช่น การรณรงค์ สร้างแนวร่วม จัดอภิปราย ชี้แนวทางประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่สื่อสื่ออาจยังบกพร่องและขาดความสามารถ
ปัญหาสำคัญ คือ สื่อไทยมองไม่เห็นภาพใหญ่ของการเมืองทั้งระบบที่เชื่อมโยงพลเมือง สังคม ผลประโยชน์และการพัฒนาประเทศชาติได้ จึงทำได้แต่เพียงนำเสนอเศษเสี้ยวชิ้นส่วนย่อยทางการเมือง แต่ปัญหาที่ยิ่งมากว่า คือ เข้มทิศที่จะชี้นำประเทศว่าสมควรไปทางไหน แต่ทั้งหมดก็คือ สื่อยังไม่ทำหน้าที่ให้ความรู้แก่พลเมืองเท่าที่ควร
"สิทธิเสรีภาพสื่อ: ทั้งโดนละเมิดและ ลิมิตตนเอง?”
ด้าน นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ วิเคราะห์ว่า สื่อปัจจุบันทำงานยากขึ้นมาก ที่สำคัญคือต้องให้ข้อมูลข่าวสารที่ตรงกับข้อเท็จจริงสภาพปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้น และตั้งข้อสังเกตสิทธิของสื่อ ว่า ทั้งๆ ที่โดนละเมิด แทรกแซง แต่สื่อก็ไม่รู้ว่าตนโดนละเมิด แต่เลือกที่จะกลบทับปกปิดปัญหาเหล่านี้ไว้ หรืออาจจะไม่รู้ตัวว่าสื่อเองก็โดนละเมิดสิทธิในการรายงานข้อมูลข่าวสารได้เหมือนกัน และชี้ให้เห็นว่า ที่สื่อโดนละเมิด ก็มาจากพรรคการเมือง หรือหน่วยงานรัฐด้วยกฎระเบียบบางอย่างระหว่างการเลือกตั้ง จึงทำให้สื่อไม่สามารถทำงานบางอย่างได้
“บทบาทของสื่อในปัจจุบันมีปัญหาเรื่องการถูกละเมิดสิทธิ เช่น การที่กกต. ออกกฎระเบียบในการนำเสนอข่าวสารที่เป็นเชิงบวกกับกกต. หรือ การถูกแทรกแซงจากหน่วยงานรัฐ หรือเอกชน หรือพรรคการเมือง ที่น่าแปลกคือ สื่อกลับไม่คิดที่จะแจ้งหรือร้องเรียนว่าตนเองโดนละเมิดสิทธิ ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด หรืออันที่จริงก็อาจมองว่า เป็นเพราะสื่อก็ไม่อยากให้มันเป็นประเด็นมากมาย นอกจากนี้สื่อยังอยู่ในวัฒนธรรมที่จะเซ็นเซอร์ตัวเองเสียแต่ต้นลม เพื่อลดข้อความขัดแย้ง หรือก็ยอมตกอยู่ในฐานอำนาจทางการเมืองเสียเอง”
“บทบาทสื่อที่สำคัญในการเลือกตั้ง คือ การให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางการเมือง ที่ถูกต้อง ครบถ้วน และตรงกับสภาพความเป็นจริงทางสังคม แต่ที่มักเป็นปัญหาคือ การสื่อสารทางการเมือง ปัจจุบันมักถูกนำเสนอให้กลายเป็นการสื่อสารทางการตลาดไปเสียหมด” นพ.นิรันดร์ กล่าว
"นักการเมืองรู้เท่าทันสื่อ
แต่สื่อไม่รู้เท่าทันนักการเมือง”
ขณะที่นักวิชาการรัฐศาสตร์ รศ.สิริพรรณ นกสวน สวัสดี ผู้อำนวยการศูนย์ติดตามประชาธิปไตยไทย คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิเคราะห์ว่า ปัญหาทุกวันนี้ คือ สื่อทำงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน และ ขาดศักยภาพ เราจึงเห็นจริงตามที่สื่อรายงานข่าวการเมืองเป็นเรื่องบันเทิง สีสัน แต่สิ่งนี้สะท้อนว่า สื่อขาดความตระหนักรู้ในบทบาทหน้าที่ของตนเอง ขาดการตระหนักรู้ในข้อเท็จจริงของข่าวสาร ขาดการตระหนักรู้ว่าตนเองควรมีบทบาทหน้าที่ที่เพิ่มมากขึ้นในการเลือกตั้งอย่างไร การทำงานจริงของสื่อนั้นมีเรื่องข้อจำกัดเวลา ทุน นโยบายองค์กร แต่ที่เพิ่มขึ้นมาใหม่คือ แรงกดดันทางการเมือง การสื่อสารการตลาดการเมือง กลยุทธ์ทางการเมือง กลุ่มกดดันทางการเมือง ปัจจุบันนักการเมืองรู้เท่าทันการทำงานของสื่อ แต่สื่อไม่รู้เท่าทันนักการเมืองเลย ซึ่งนักข่าวสมัยนี้ต้องเจอกับสิ่งเหล่านี้
“เราไม่เคยไปตรวจสอบกระบวนการ
เบื้องหลังระหว่างสื่อกับนักการเมือง”
ด้านนักวิชาการนิเทศศาสตร์ ผศ.พิจิตรา ศุภสวัสดิ์กุล คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า ในสังคมข้อมูลข่าวสารการเมืองที่มากมายหลายช่องทางปัจจุบัน การเฝ้าระวังสื่อนั้นจำเป็นมาก อยากให้สังคมมีหน่วยเฝ้าระวังสื่อเพิ่มขึ้นอีกหลายๆ หน่วย เพราะจะยิ่งช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในการตรวจสอบสื่อ แต่ประเด็นที่เราไม่เคยเข้าไปดู คือ ระบบ วัฒนธรรม เบื้องหลังฉากสื่อ ที่ซึ่งนักการเมืองกับสื่อสานผลประโยชน์กันอยู่อย่างไร เป็นจุดที่ยากจะเจาะเข้าไปถึงได้ แต่หากทำได้ เราก็จะมองเห็นภาพเชิงโครงสร้างได้ว่า ใครเป็นเจ้าของสื่อ หรือ มีนักการเมืองกลุ่มใดชักใยอยู่เบื้องหลังสื่อ มันสะท้อนแนวคิดปัญหารู้เท่าทันสื่อพื้นฐานที่ว่า เจ้าของสื่อเป็นผู้กุมนโยบายเนื้อหาสื่อ แต่สำหรับบ้านเรา การตรวจสอบตรงนี้ยังเป็นประเด็นปัญหาอยู่
“แปลก ที่นักข่าวเมื่ออาวุโส
กลับคิดว่าตัวเองเป็นนักการเมือง”
ด้านคนสื่อ นาย พลภฤต เรืองจรัส กรรมการสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย อธิบายว่า สื่อมักถูกมองในแง่ร้ายและเป็นจำเลยของสังคม คนทำสื่อมักรู้สึกว่าตนเป็นจำเลยของสังคม แต่ปัญหาอย่างหนึ่ง คือ นักข่าวบ้านเราเมื่ออาวุโสแล้ว ชอบคิดว่าเราเป็นคนนั้น นักข่าวการเมือง เมื่ออาวุโสไป ชอบทำตนเองว่าเป็นนักการเมือง ที่ต้องมีคนมาคอยต้นรับดูแล หรือมีอิทธิผล ถ้าเป็นนักข่าวสายธุรกิจ อาวุโสไปก็จะคิดว่าตนเองเป็นนักธุรกิจ นักข่าวสายอาชญากรรม อาวุโสแล้วก็ชอบคิดว่าตนเองเป็นตำรวจ สื่อกลายตัวเองเป็นเป็นแหล่งข่าว ไปเป็นในสิ่งที่ตนไม่ใช่ แต่ปัญหากลับที่ตอนต้น คือ เด็กจบใหม่ไม่รู้ว่าจะเป็นนักข่าวสายอะไร ไม่ค้นพบ ไม่รู้ตัวความชื่นชอบของตน ต้องมาเรียนรู้นับหนึ่งใหม่ในสายงานนั้นๆ ยิ่งปัจจุบันทำข่าวง่ายขึ้น เพราะเทคโนโลยี แต่ไม่ง่ายเลยเพราะในกองบรรณาธิการมีคนต่างสีต่างฝ่าย ปัญหาคือสื่อมักจะถูกผลักไปฝ่ายโน้นฝ่ายนี้ และเราไม่ได้ตัดสินสื่อเพราะข้อเท็จจริง แต่เราตัดสินเพราะเราเลือกข้างฝ่ายต่างๆ ไว้ในใจแล้วต่างหาก ฉะนั้นข่าวสารการเมืองเราจึงฉาบฉวยเอาตามใจ ไม่ใช่ความจริง
“อย่าหวังพึ่งแต่สื่อกระแสหลัก เพราะเรามีสื่อชุมชน สื่อเคเบิ้ล ทีวีดาวเทียม”
ในมุมตัวแทนของสื่อชุมชน อย่าง นาย วิชิต เอื้ออารีวรกุล อุปนายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย เห็นต่างว่า เราฝากความหวังกับสื่อกระแสหลักมากเกินไป น่าจะหันมาพิจารณาความสามารถและความพร้อมของสื่อเคเบิ้ลทีวีหรือทีวีดาวเทียมบ้าง เพราะมีความพร้อมด้านช่องทางและทรัพยากรมากกว่าฟรีทีวี
“เลือกตั้งครั้งหน้าก็คงรู้ว่าสื่อกระแสหลักยังเป็นเช่นเดิม ปัญหาคือเราไม่เคยมองเรื่องบทบาทสื่อชุมชนในการเลือกตั้งเลยว่า แล้วสื่อชุมชนควรจะทำอะไรได้บ้าง ทุกอย่างมุ่งไปที่สื่อกระแสหลักทั้งหมด กกต. กลายเป็นผู้คุมกฎดูแลกฎการใช้สื่อของพรรคการเมือง ทำให้เกิดความกลัวว่า สื่อชุมชนจะไปทำเรื่องการเลือกตั้ง ก็อาจจะทำให้นักการเมืองยิ่งกลัว ระแวง ว่าจะถูกฟ้อง หรือถูกถอนสิทธิเลือกตั้งได้อีก นั่นยิ่งทำลายขีดความสามารถของสื่อชุมชน”
“อยากให้ลองคิดใหม่ว่า จะดีไหมถ้าเคเบิ้ลทีวีทั่วประเทศ ในชุมชน สามารถมีพื้นที่ทางข่าวสารการเมืองที่เป็นกลาง ให้เวลายาวๆ กับนักการเมือง ชาวบ้าน มาพูดปัญหาในชุมชนท้องถิ่นตน บอกปัญหาและความต้องการ อภิปรายและโชว์วิสัยทัศน์ หรือทำรายการให้ความรู้ด้านการเลือกตั้งไปด้วย แต่จะดีกว่ามากถ้าเราช่วยผ่อนคลายภาระหน้าที่ของสื่อกระแสหลักให้ชุมชนได้เป็นช่องทางข่าวสารในการพัฒนาประชาธิปไตยในระดับชุมชนเล็กๆ ได้บ้าง”
“สื่อมักถูกสังคมคาดหวังสูง มักมองสื่อเป็นผู้ร้าย แต่สื่อก็อยากเป็นผู้ดี”
ด้านตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ นางสาว สุวรรณา สมบัติรักษาสุข ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สะท้อนภาพการทำงานของสื่อในปัจจุบันว่า ยิ่งยากและอันตรายมากขึ้น โดยเฉพาะการทำข่าวที่อยู่ภายใต้ความกดดันของกลุ่มการเมืองของสีเสื้อต่างๆ และในช่วงการเลือกตั้ง แม้จะมีความพยายามมานั่งคิดว่า สื่อควรทำหน้าที่ที่แตกต่างเช่นไร แต่ก็เป็นเรื่องยาก เพราะกลายเป็นว่าหน่วยงานรัฐ อย่างกกต. เป็นผู้มีอิทธิพลต่อการกำหนดแนวทางการรายงานข่าว และนักการเมืองก็รู้จักใช้สื่อเพื่อผลประโยชน์ตนเองอีก
“ในการทำงานทุกวันนี้ สื่อไม่ใช่โดนกดดันจากทุน หรือรัฐ อีกต่อไป แต่ถูกกดดันจากพรรคการเมือง และกลุ่มมวลชนการเมืองด้วย ทำให้สื่อแทบจะทำงานได้โดยไม่คำนึงถึงมาตรฐานวิชาชีพที่ควรจะทำ แม้กระทั่งข้อบังคับจริยธรรมที่เขียนไว้ ก็เป็นระบบความสมัครใจ ไม่ใช่กฎหมายและก็ไม่มีสื่อไหนยึดถือปฏิบัติกันอย่างเคร่งครัด และแม้ว่าอยากจะทำ ก็มีอุปสรรคกีดขวางในการทำงานมากมาย
สื่อจึงมักถูกมองในแง่ร้าย และถูกคาดหวังสูงจากคนในสังคม แต่ใครจะหันมาดูแลสื่อนั้น ไม่มี ถ้าไม่ใช่คนสื่อด้วยกันเอง เชื่อว่าคนสื่อก็อยากเป็นผู้ดี อยากเป็นพระเอก นางเอก แต่จะทำเช่นนั้นได้ คนสื่อเองก็ต้องหันมายึดถือหลักการวิชาชีพที่เสมือนบท ที่กำกับหน้าที่ของตนเอง แม้สื่อจะถูกคุกคาม ข่มขู่ แต่ก็อยากให้สังคมได้เข้าใจว่า เป็นหน้าที่สื่อที่ต้องแสวงหาความจริงมานำเสนอให้สังคม” ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าว
“ความเป็นพลเมืองของเราหายไปไหน
ในกระบวนการส่งเสริมประชาธิปไตย”
ขณะที่ผู้ร่วมรับฟังการเสวนา นางสาว สุภาภรณ์ โพธิ์แก้ว คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า ผลการศึกษานี้สำคัญมากเพราะให้ภาพปัญหาเชิงโครงสร้าง ในฐานะคนสอนหนังสือ และเป็นประชาชน เราเกิดคำถามสำคัญว่า ทั้งคนสื่อ คนข่าว ทั้งนักการเมือง ทั้งนักวิชาการ เรามีหมวกสองใบ คือ หน้าที่ที่เราทำเราเป็น แต่หมวกอีกใบในฐานะพลเมือ/ประชาชนของประเทศที่มีบทบาทหน้าที่ในระบอบประชาธิปไตย ทั้งการมีส่วนร่วม การตรวจสอบ การเป็นคนที่มีส่วนร่วมในการสร้างสังคมที่มีคุณภาพ ประเด็นคือ มันมีกระบวนการใด ขั้นตอน หรือปัจจัยใด ที่ทำให้เรา หรือคนสื่อหลงลืมหมวกความเป็นพลเมืองไปในระหว่างทาง แล้วคิดเอาเพียงว่าตนเป็นนักสื่อ นักวิชาชาการ นักธุรกิจ นักฯลฯ มากมาย
การนำเสนอข้อมูลข่าวสารการเมือง หากเป็นข่าวสารก็จบเพียงแค่นั้น แต่ถ้าสื่อหันมาเน้นบทบาทของตนเองในการพัฒนาส่งเสริมสร้างความเป็นประชาธิปไตยให้กับผู้ชมผู้รับสารด้วย มันก็น่าจะทำให้เราได้ช่วยให้หมวกความเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตยถูกกลับมาสวมใส่อีกครั้งด้วย
ในช่วงท้ายของการสัมมนามีการพูดเรื่อง การขยายผลการศึกษาไปยังบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ทุกช่อง ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการโครงการมีเดียมอนิเตอร์ สรุปว่า เนื้อหาการสัมมนาครั้งนี้เป็นผลมาจากการทำงานในรอบการเลือกตั้งกลายครั้งที่ผ่านมา ประเด็นสำคัญที่มากกว่าการพูดเรื่องปัญหาของสื่อในการรายงานข่าว คือ บทบาทสื่อในการให้ความรู้/สื่อสารกับประชาชนในความเป็นพลเมือง และยังเห็นด้วยกับที่แนวคิดที่วิทยากรทุกท่านเสนอ ว่าผลการศึกษาและเนื้อหาการสัมมนานี้ น่าจะสามารถนำไปพูดคุยกับคนสื่อ และเขียนเป็นกรอบแนวปฏิบัติในการรายงานข่าวสารการเมืองในช่วงเลือกตั้ง โดยองค์กรวิชาชีพสื่อต่อไป เพื่อสร้างมาตรฐานการทำงาน และยกระดับการทำงานของสื่อในการพัฒนาการเมืองต่อในอนาคต