- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- แฉสถานการณ์แรงงานต่างด้าวสุดรันทด นายหน้า ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่รัฐ รุมหาผลประโยชน์
แฉสถานการณ์แรงงานต่างด้าวสุดรันทด นายหน้า ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่รัฐ รุมหาผลประโยชน์
“ จากการสำรวจค่าครองชีพของแรงงานข้ามชาติโดยสภาทนายความ พบว่าแรงงานข้ามชาติแต่ละคนมีรายได้เฉลี่ยเดือนละ 5-6 พันบาท ใช้เป็นค่าครองชีพ 3-4 พันบาท ค่าขึ้นทะเบียนกับนายจ้างหรือค่านายหน้า 500 บาท ค่าถูกจับ ค่าปรับ 300 บาท บ้าง 500 บาท บ้าง บางรายเสียเป็นหมื่นบาท เฉลี่ยแล้วแรงงานข้ามชาติแทบไม่มีเงินเหลือเลย ดังนั้นสิ่งแรกที่รัฐบาลควรเข้ามาดูแล คือการให้ความเป็นธรรมในเรื่องกฎหมาย เลิกอุ้ม เลิกสนับสนุนธุรกิจผิดกฎหมายที่ใช้แรงงานข้ามชาติทำงาน 24 ชั่วโมง หรือไม่มีวันหยุด ขอให้รัฐเอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องค่าแรงงานขั้นต่ำ ว่าจะขึ้นค่าแรงให้ 300 บาทเท่ากับคนไทยหรือไม่ เพราะแรงงานข้ามชาติก็เป็นคน ทำงานใช้แรงงานเหมือนกัน”
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ กล่าวในตอนหนึ่งของการสัมมนาเรื่อง “กะเทาะสถานการณ์การจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ สิทธิ ความหวังของแรงงาน และการดำเนินการของรัฐไทย” ซึ่ง “มูลนิธืดีเพื่อการทำงานที่เป็นประโยชน์”ร่วมกับคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ฯ สภาทนายความจัดขึ้น ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ที่มาของแรงงานต่างด้าว
ในการสัมมนา ได้มีการแจกจ่ายเอกสาร “การขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย ตามมติ ค.ร.ม.”ของคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ สภาทนายความ สรุปได้ว่า ตั้งแต่ปี 2535 มีปัจจัย 3 ประการ ทำให้ประเทศไทยเริ่มหันมายอมรับการมีอยู่ของแรงงานข้ามชาติ ที่ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และพยายามที่จะจัดการการหลั่งไหลของแรงงานข้ามชาติคือพม่า ลาวและกัมพูชา
ปัจจัยแรกคือ สภาพเศรษฐกิจของไทยในช่วงเวลานั้นสูงมาก โดยเฉพาะการก่อสร้างและประมง ทำให้มีความต้องการแรงงานระดับล่างจำนวนมาก ปัจจัยต่อมาคือการกดดันจากภาคธุรกิจเอกชน ได้แก่สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ให้รัฐบาลจ้างแรงงานข้ามชาติได้
และปัจจัยสุดท้าย เกิดจากการลักลอบเข้าเมืองของชาวพม่า เนื่องมาจากเหตุการณ์ปราบปรามประชาชนและจราจลทางการเมืองในประเทศพม่า
ต่อมาได้มีนโยบายขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว โดยมุ่งเน้นเพื่อสนองความต้องการของนายจ้างที่ต้องการแรงงานต่างด้าว แต่ขาดมาตรการป้องกันและคุ้มครองแรงงานต่างด้าว จากการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากนายจ้าง นายหน้า ทั้งขาดมาตรการปกป้องและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของแรงงานต่างด้าวอย่างมีประสิทธิภาพ
ปัญหาหลักของแรงงานต่างด้าวในการขี้นทะเบียนแรงงาน
การสัมมนาดังกล่าว สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 9 พฤษภคม ที่ผ่านมา ได้มีการประกาศให้มีการจดทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่ เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 มิถุนายน ถึงวันที่ 14 กรกฎาคม แต่มีการเผยแพร่ข่าวสารค่อนข้างน้อย ทำให้คนในสังคมไทยไม่ได้รับรู้ปัญหาของแรงงานต่างด้าวเท่าที่ควร โดยเฉพาะเรื่องของชีวิต ความเป็นอยู่ สภาพการทำงาน การถูกนายจ้างเอารัดเอาเปรียบ เจ้าหน้าที่ของรัฐหาผลประโยชน์ บางกรณีเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ซึ่งจะต้องมีการแก้ไขก่อนที่จะมีการเปิด “ เสรีอาเซี่ยน”ในอีก 4 ปีข้างหน้า
นายสุรพงษ์ กองจันทึก กล่าวถึงการจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ หรือที่เรียกกันว่าแรงงานต่างด้าวที่ผ่านพ้นไปว่า มีจำนวนแรงงานต่างด้าวมาลงทะเบียนประมาณ 1 ล้านคน ขณะที่จำนวนแรงงานต่างด้าวจริงมีอยู่ประมาณ 3-4 ล้านคน ปัญหาหลักที่พบคือ ผู้ติดตามและบุตรของคนเหล่านั้น ไม่ได้อยู่ในเงื่อนไขของการขึ้นทะเบียนแรงงาน จึงไม่ได้ขึ้นทะเบียน ส่งผลให้ระบบไม่เปิดช่องให้ได้รับสิทธิการคุ้มครองดูแลในเรื่องการรักษาพยาบาล และสิทธิที่จะได้อยู่กับครอบครัวซึ่งจดทะเบียนแรงงาน
ปัญหาการเปลี่ยนนายจ้างไม่มีความคล่องตัว เมื่อแรงงานต่างด้าวเข้ามาอยู่ในประเทศไทยระยะหนึ่ง หากต้องการเปลี่ยนงานทั้งๆที่มีนายจ้างใหม่รองรับ แต่บางครั้งนายจ้างเก่าก็ไม่ยอม จึงเกิดปัญหาความยุ่งยากขึ้น
และในเรื่องของการพิสูจน์สัญชาติว่าแรงงานหลายชาติที่เข้ามาทำงานมาจากประเทศใด จำเป็นต้องมีการจำแนกสัญชาติ ในส่วนแรงงานชาวลาว และกัมพูชา ไม่มีปัญหา แต่มีปัญหาที่พม่า โดยเฉพาะในส่วนของผู้ติดตามที่เป็นเด็ก มักไม่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติ ทำให้มีเด็กพม่าตกค้างอยู่ในไทยจำนวนมาก การผลักดันกลับทำได้ลำบาก เพราะพม่าเองก็ไม่รับรองการถือสัญชาติของคนเหล่านั้น
นายหน้า-นายจ้างหาผลประโยชน์
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีการจับกุมแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายแล้วผลักดันออกไป ซึ่งได้ทำมานาน 30-40 ปีแล้ว ปัจจุบันก็ยังทำอยู่ ปีเดียวส่งกลับไป 6 แสนคน จากข้อมูลที่ทำการสำรวจก็กลับมาเกือบทุกคน ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าผลักดันออกไปแรงงานเหล่านี้ก็ต้องกลับเข้ามาอีก จึงควรแก้ปัญหาด้วยวิธีการอื่น เช่นต้องดำเนินการกับขบวนการนำพาคนต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายคือพวกนายหน้า
“มีข้อมูลชัดเจนว่า แรงงานแต่ละคนที่กลับเข้ามาต้องจ่ายเงินคนละ 1 หมื่น 5 พันบาท ถึง 2 หมื่นบาท ปีที่ผ่านๆมา ถ้าส่งกลับ 8 แสนคน คูณกับ 1 หมื่น 5พันบาทเป็นเงินเท่าไหร่ นั่นคือเงินที่แพร่สะพัดในขบวนการ เจ้าหน้าที่ของรัฐก็รู้เห็นเป็นใจ”
นายสุรพงษ์ ให้ข้อมูลด้วยว่า นอกจากมีขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายแล้ว ในส่วนของนายจ้างก็มีการใช้แรงงานอย่างผิดกฎหมาย ทั้งการใช้แรงงานอย่างหนัก ให้ทำงานทั้งวันทั้งคืน ซึ่งเป็นการใช้แรงงานทาส
“ รัฐบาลต้องส่งเสริมธุรกิจถูกกฎหมาย ธุรกิจผิดกฎหมาย ธุ รกิจที่เป็นแรงงานทาส ธุรกิจที่จ้างค่าแรงต่ำกว่าที่ค่าแรงขั้นต่ำกำหนด สภาพการทำงานแย่ต้องถูกลงโทษ และให้เลิกธุรกิจนั้นด้วย”
“ปัจจุบัน มีการจ้างแรงงานต่างด้าวก็เพราะมีขบวนการ ธุรกิจจำนวนมากใช้แรงงานเหล่านี้อย่างผิดกฎหมาย โดยการรู้เห็นเป็นใจเชิงนโยบายของรัฐ คือการปล่อยให้มีการจ้างแรงงานอย่างนี้ได้ ทำให้แรงงานต่างด้าวทะลักเข้ามาจำนวนมาก ถ้ารัฐบาลดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจังแล้ว เช่นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท แรงงานต่างด้าวก็ต้องได้เท่ากัน และต่อไปผู้ประกอบการก็ต้องหันมาจ้างคนไทย เพราะคนไทยก็ต้องมาทำงานที่ค่าจ้างดี และสภาพการจ้างงานดี ในที่สุดแรงงานต่างด้าวก็ต้องกลับไป เพราะรัฐไม่สนับสนุน” นายสุรพงษ์ กล่าว
ตำรวจหาช่องรีดไถ
นายสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน กล่าวว่า ในส่วนของจังหวัดสมุทรสาครในปี 2553 เอกสารทางราชการประมาณการณ์ไว้ว่ามีแรงงานต่างด้าว 1 แสน 2หมื่นคน แต่คาดว่ามีแรงงานต่างด้าวในจังหวัดมากกว่า 3 แสนถึง 4 แสนคน และในส่วนของแรงงานต่างด้าวที่ผ่านการพิสูจน์สัญชาติ มีพาสปอร์ต (หนังสือเดินทาง) สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ ก็มีปัญหาถูกตำรวจบางคนรีดไถ
“ พบว่าหลังการพิสูจน์สัญชาติ แรงงานต่างด้าวที่มีพลาสปอร์ตถูกตำรวจรีดไถเหมือนเดิม แรงงานก็ต้องให้ไป บางคนไม่ได้ต่ออายุเมื่อถึงกำหนด 90 วัน ต้องไปปั๊มต่ออายุที่ ตม. (สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง) เสียค่าปรับวันละ 500 บาท แรงงานต่างด้าวที่ไม่อยากไปก็ใช้พาสปอร์ต ไม่ถูกตำรวจตรวจก็ไม่เป็นไร ถ้าไปต่อพาสปอร์ตก็มีคนมารับจ้างดำเนินการให้ ก็ต้องเสียเงิน ถ้าเงินมากไปก็ไม่สมควร”
นายสมพงษ์ กล่าวว่า ในปี 2553และปี2554 มีแรงงานต่างด้าวในจังหวัดสมุทรสาคร ที่มีเอกสารทางราชการและมีใบอนุญาตทำงาน (work permit) ประมาณเกือบ 2 แสนคน ในจำนวนนี้ประสบปัญหาหลายอย่างในการทำงานและการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุม รีดไถ
“ แรงงานต่างด้าวมีห้องพัก วันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ก็มีคนแต่งกายครึ่งท่อนหรือแต่งตัวธรรมดา ห้อยบัตรให้ดูว่าเป็นเจ้าหน้าที่ ใช้พาหนะไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียนไปตรวจค้นทั้งๆที่ไม่มีหมายค้น เจ้าหน้าที่ตำรวจบางคนก็แอบเอาโพยจดหวยไปวางไว้ใต้ฐานพระบ้าง ใต้สมุดบ้าง แล้วก็บอกว่าเล่นหวยผิดกฎหมาย ไปโรงพัก ถ้าแรงงานต่างด้าวไม่ต้องการติคุกก็ต้องจ่ายเงินให้ ตอนแรกก็เรียกรับเงินก่อน 1 หมื่น 5 พันบาท ต่อรองจนถึงเย็นเหลือ 5 พันบาท คิดดูจับวันละ 10 คนเป็นเงินเท่าไหร่”
“ แรงงานต่างด้าวบางคนจดค่าใช้จ่ายเป็นตัวเลขไว้ในกระดาษ ตำรวจอ่านไม่ออกก็จับกุมไปเหมือนกัน ชาวพม่า ชาวมอญ ส่วนใหญ่นับถือพุทธศาสนา มีดอกไม้ ใบไม้อะไรมากมายบูชาพระ ก็ถูกจับฐานมีใบกะท่อม”
“ ถ้าเจ้าหน้าที่เข้าไปในห้องไหนเจอคอมพิวเตอร์ก็ยึดทันที โดยให้เหตุผลว่าดูหนังโป๊ ไม่ได้ทำประโยชน์อะไร ไม่ได้คำนึงเลยว่า แรงงานข้ามชาติต้องการใช้คอมพิวเตอร์สื่อสารกับประเทศต้นทางของเขา นอกจากนี้หากไม่มีเรื่องจะจับหรือเรียกรับผลประโยชน์ ก็ใช้ไม้ตาย ยึดเอกสารที่ทางราชการออกให้คือพลาสปอร์ต จากนั้นก็เรียกเก็บเงิน ถ้าไม่มีเงินก็จับไปโรงพัก เหล่านี้เป็นปัญหาที่ผมได้รับการร้องเรียนมานับครั้งไม่ถ้วน”
“ วันหยุดไม่ค่อยมีใครอยู่ที่พัก กลัวโดนจับ เสียเงิน ก็ออกไปเที่ยวกันตามห้าง อยากให้นำประเด็นนี้ไปเผยแพร่เป็นประเด็นสาธารณะ แรงงานต่างด้าวทำงานได้เงินมาก็ต้องจ่ายเบี้ยใบ้รายทางหมด” ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน กล่าว
แรงงานต่างด้าวขึ้นทะเบียนใหม่รอไปก่อน
ในการสัมมนา มีประเด็นที่น่าสนใจประเด็นหนึ่งคือการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวรอบใหม่ที่ผ่านไป แรงงานชาวพพม่าที่ขึ้นทะเบียนแรงงานแล้ว จะสามารถเดินทางไปพิสูจน์สัญชาติในพื้นที่ตรงข้ามชายแดนไทย-พม่า ซึ่งไทยกับพม่าร่วมกันกำหนดหน่วยพิสูจน์สัญชาติไว้ 3 แห่งคือที่เมืองเมียวดี ตรงข้าม อ.แม่สอด จ.ตาก ท่าขี้เหล็ก ตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย และที่เกาะสอง ตรงข้าม จ.ระนอง ได้เลยหรือไม่
นายภัทรวุธ เภอแสละ นักวิชาการแรงงานพิเศษ ผู้ร่วมสัมมนา กล่าวว่า ผู้ขึ้นทะเบียนแรงงานรอบใหม่ยังไม่สารถเดินทางไปพิสูจน์สัญชาติได้ เพราะมติของ ค.ร.ม. เดิม ยังไม่ได้รองรับไว้ เพราะกำหนดไว้ว่าต้องเป็นแรงงานพม่ากลุ่มเดิม ขณะนี้ต้องรอกระทรวงแรงงานไปพูดคุยกับทางพม่าก่อนว่าจะดำเนินการได้อย่างไร ขณะนี้ยังมีแรงงานพม่าค้างอยู่ประมาณ 2 แสนคน ที่จะต้องไปพิสูจน์สัญชาติ
“มีบางคนไปพิสูจน์สัญชาติ ได้หนังสือเดินทางพม่าแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองไม่ประทับตราให้ เพราะเป็นผู้ขึ้นทะเบียนแรงงานรอบใหม่ ไม่ใช่แรงงานกลุ่มเดิม” นายภัทรวุธ กล่าว
เปิดเสรีอาเซี่ยนกับแรงงานต่างด้าว
นอกจากปัญหาของแรงงานต่างด้าว ในการสัมมนายังได้กล่าวถึงการ “เปิดเสรีอาเซี่ยน” ในปี 2558 ซึ่งกลุ่มประเทศอาเซี่ยนคือ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย บรูไน และฟิลิปปินส์ จะรวมตัวกลายเป็นฐานตลาดเดียวกันในเรื่องของการค้า การลงทุน การบริการและแรงงานซึ่งจะถ่ายเทกันได้อย่างเสรี
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ในเรื่องของแรงงาน รัฐบาลต้องวางแผนตั้งแต่เวลานี้ ธุรกิจใช้แรงงานต้องถูกกฎหมายทั้งหมด ถึงเวลานั้น ถ้านักลงทุนจะลงทุนและต้องการใช้แรงงานพม่า ก็ต้องไปคุยกับทางพม่าในเรื่องระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน เช่นน้ำ ไฟฟ้าและถนน ทำธุรกิจที่ชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ใช้แรงงานพม่าซึ่งค่าแรงต่ำ ค่าจัดการต่างๆก็ต่ำลง ในภาพรวมแล้ว ธุรกิจไทยและสังคมไทยได้ประโยชน์ โดยต้องทำทุกอย่างให้ถูกต้อง โดยเฉพาะเรื่องของแรงงาน
“ เราถูกจับตาเรื่องของการค้ามนุษย์ในระดับที่เลวมาก ถ้าไม่ทำให้ดีในเวลานี้ สหรัฐอาจจะลดระดับเราลงไปอยู่ในระดับเลวที่สุด ถ้าเรายังมองว่าแรงงานไม่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์ สหรัฐก็อาจจะถอนความช่วยเหลือหลายๆเรื่อง และความช่วยเหลือก็อยู่ในภาครัฐ” นายสุรพงษ์ กล่าว
ขณะที่ นายสมพงษ์ กล่าวว่า เรื่องการเปิดเสรีอาเซี่ยน รวมทั้งเรื่องพหุวัฒนธรรมต้องมีการเตรียมพร้อมแต่ที่จังหวัดสมุทรสาครซึ่งได้พบมา สังคมยังไม่ค่อยเข้าใจเช่นเรื่องของการเรียนภาษา
“ เวลานี้ที่จังหวัดสุรินทร์ก็มีการเปิดสอนภาษาเขมร ชายแดนบางแห่งก็เปิดสอนภาษาพม่า แต่สังคมในจังหวัดสมุทรสาครไม่เข้าใจ มีบางโรงเรียนเริ่มสอนภาษาพม่า ก็มีคนถามว่า กอ.รมน.รู้หรือยัง การเรียนภาษาที่ 2 อย่างภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน ก็มีเรียนกัน ภาษาและวัฒนธรรมประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อเปิดเสรีอาเซี่ยนก็มีความจำเป็น” นายสมพงษ์กล่าว
การสัมมนาเรื่อง “กะเทาะสถานการณ์การจดทะเบียนแรงงานข้ามชาติ สิทธิ ความหวังของแรงงาน และการดำเนินการของรัฐไทย” สรุปได้ว่าเวลานี้ สถานการณ์ของแรงงานต่างด้าวอยู่ในขั้นเลวร้าย นอกเหนือไปจากเรื่องทัศนคติของคนไทยส่วนหนึ่ง ที่คิดว่าแรงงานต่างด้าวเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศและสังคมไทย แย่งงาน กอบโกยประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แรงงานต่างด้าวถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ “นอกแถว” ใช้อำนาจ ข่มขู่ คุกคาม รีดไถ เรียกรับผลประโยชน์โดยมิชอบ ขณะที่ไทยยังไม่มีการเตรียมพร้อมอย่างเป็นรูปธรรมในเรื่องของแรงงาน ก่อนจะมีการเปิดเสรีอาเซี่ยนในอีก 4 ปี ข้างหน้า
ภาพประกอบเรื่องจาก internet
ชม Clip Video
{youtubejw}nvYSBlKJORQ{/youtubejw}