- Home
- Isranews
- รายงาน-สกู๊ป
- กะเหรี่ยงแก่งกระจานแฉสุดรันทด จนท.พาขึ้น ฮ.ชี้เป้า ก่อนเผาบ้านทิ้งต่อหน้าชาวบ้าน
กะเหรี่ยงแก่งกระจานแฉสุดรันทด จนท.พาขึ้น ฮ.ชี้เป้า ก่อนเผาบ้านทิ้งต่อหน้าชาวบ้าน
ทีมนักกฎหมาย คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติ ผู้ไร้สัญชาติ แรงงานข้ามชาติและผู้พลัดถิ่น สภาทนายความ ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีชาวกะเหรี่ยงร้องเรียนว่าเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกับหน่วยงานอื่น ร่วมกันใช้กำลังเผาบ้าน ยุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สิน ผลักดันให้ออกจากถิ่นที่อยู่ในป่าแก่งกระจาน ที่บ้านห้วยน้ำหนัก ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา ได้ข้อมูลสำคัญจากชาวกะเหรี่ยงผู้เสียหาย ยืนยันเจ้าหน้าที่จุดไฟเผาบ้าน ต่อหน้าต่อตาเจ้าของบ้าน และขนข้าวในยุ้งไปด้วย ปล่อยให้ชาวบ้านซึ่งมีลูกเด็กเล็กแดงจำนวนมากไม่มีที่อยู่อาศัย ได้รับความยากลำบากอย่างหนักเพราะไม่มีข้าวกิน ต้องอพยพหลบหนีด้วยความหวามหวาดกลัว
ปากคำพยานในเหตุการณ์
กรณีชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมในป่าแก่งกระจาน ร้องเรียนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสภาทนายความ ขอความช่วยเหลือจากการถูกเจ้าหน้าที่ใช้กำลังผลักดัน บังคับให้ออกจากพื้นที่อยู่อาศัยและทำมาหากิน มีการเผาบ้าน เผายุ้งข้าว อย่างไร้มนุษยธรรม ขณะที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน นำโดย นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิคอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยืนยันว่าการปฏิบัติการอพยพ ผลักดัน ฯเป็นไปตามอำนาจของกฎหมาย เพื่อปกป้องอนุรักษ์ป่าไม้ไม่ให้ถูกทำลาย โดยคนเหล่านั้นคือชาว “กะหร่าง”จากประเทศพม่า เข้ามาบุกรุกพื้นที่อุทยาน เกี่ยวข้องกับกองกำลังติดอาวุธเคเอ็นยูและปลูกพืชเสพติดกัญชา ซึ่งคณะกรรมการทั้ง 2 คณะได้เดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ยังไม่สรุปว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร
การตรวจสอบข้อเท็จจริงของนักกฎหมาย คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ สภาทนายความ ครั้งนี้ เป็นการลงพื้นที่ครั้งที่ 2 เพื่อรับฟังข้อมูลจากชาวกะเหรี่ยงอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหลบหนีออกจากถิ่นที่อยู่อาศัยในป่าแก่งกระจาน จากบริเวณบ้านใจแผ่นดิน อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี หลังจากการลงพื้นที่ครั้งแรก ระหว่างวันที่ 3-4 กันยายน ที่ อ.แก่งกระจาน พบว่าปฏิบัติการอพยพ ผลักดัน จับกุมชนกลุ่มน้อยบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าตามแนวชายแดนไทย-พม่า ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ชาวกะเหรี่ยงในป่าบางกลอยบน ถูกผลักดัน โดยการเผาบ้าน เผายุ้งข้าว จนต้องอพยพหลบหนีมาอยู่อาศัยกับญาติพี่น้องที่บ้านโป่งลึก บ้านบางกลอย ต.ห้วยแม่เพรียง อ.แก่งกระจาน
“ เจ้าหน้าที่มาที่ใจแผ่นดิน 2 ครั้ง ครั้งแรกหัวหน้าชัยวัฒน์ (นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน) มาด้วย มากันประมาณ 20 คน มาครั้งแรกบอกว่าให้ย้ายออกไป ให้ผมขึ้น ฮ.พาไปดูบ้านในป่าว่าอยู่ที่ไหนบ้าง” นายเดซี่ ไพรพนา อายุ 16 ปี ชาวกะเหรี่ยง ให้ข้อมูลนักกฎหมายผ่านล่ามแปล พร้อมกับชี้ภาพในจอคอมพิวเตอร์โน้ทบุ้ค ซึ่งเป็นภาพหลักฐานการปฏิบัติการของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ที่ได้มอบให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในการชี้แจงข้อเท็จจริงก่อนหน้านี้
“ ครั้งที่ 2 หัวหน้าชัยวัฒน์ไม่ได้มา เจ้าหน้าที่มากันเยอะ มีป่าไม้(เจ้าหน้าที่อุทยาน) ทหาร ตำรวจ แบ่งกันเป็น 2 ชุด ให้ผมขึ้น ฮ.อีก พาไปชี้บ้านว่าอยู่ที่ไหนบ้าง เห็นบ้านก็ลงไป แล้วก็ใช้ไฟแช็คจุดเผา ผมเห็นกับตา 10 หลัง เจ้าของบ้านก็ยืนดูเจ้าหน้าที่เผาบ้านแต่ไม่กล้าทำอะไรเพราะกลัว บ้านสุดท้ายที่เผาเป็นบ้านผมเอง ก่อนเผาก็เอาข้าวของไปด้วย มีเครื่องดนตรีเต๊อะนา ของผมด้วย รู้ทีหลังจากญาติพี่น้องว่า บ้านถูกเผาไปทั้งหมด 40 หลัง” นายเดซี่ให้ข้อมูล
" นี่ไง นี่ไง พี่สาวผม”
“ นั่นบ้านป้าผมเอง เด็กคนนี้ก็หลานผม” เดซี่กล่าวและชี้ในภาพที่ปรากฎในโน้ทบุ้ค แล้วชี้ภาพต่อๆไป ระบุบุคคลและสถานที่ในภาพ ซึ่งอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ที่ผ่านมา
นายซูดี้ พุกอ อายุ 61 ปี ชาวกะเหรี่ยงบ้านใจแผ่นดิน ให้ข้อมูลนักกฎหมาย สภาทนายความ ว่า วันที่ 27 พฤษภาคม มีเฮลิคอปเตอร์บินมาจอด เห็นเจ้าหน้าที่ 6- 7 คน ด้วยความหวาดกลัวจึงพาเมียกับลูกรวมตัวเองด้วย 6 คนหนีออกจากบ้านไปหลบอยู่ในป่า
“ เจ้าหน้าที่ขึ้นไปบนบ้าน หุงข้าวกินกัน แล้วก็นอนในบ้าน รุ่งเช้าก็เผาบ้าน แล้วก็มี ฮ.มารับ เห็นควันลอยขึ้น ก็ให้ลูกชายไปดู เจ้าหน้าที่เอาข้าวที่เก็บไว้หลายปี๊บไปด้วย ที่เหลือก็ทำลายทิ้ง ”
“ ผมเห็นควันก็รู้ว่าบ้านถูกเผา ไม่เห็นคนเผาแต่ก็รู้มาเป็นเจ้าหน้าที่ที่มากับ ฮ. ขึ้นไปหุงข้าว นอนที่บ้าน แล้วเช้าก็เผาบ้าน”นายเคดี้ กล่าว
“ เวลานี้ ยังมีชาวบ้านอีกหลายสิบคนหลบหนีอยู่ในป่า อดอยากมาก ไม่มีข้าวกินเพราะเจ้าหน้าที่เผาทิ้ง ไม่กล้าออกมาเพราะกลัวเจ้าหน้าที่” ชาวกะเหรี่ยงที่หลบหนีออกมาจากบ้านใจแผ่นดินคนหนึ่ง ให้ข้อมูลผู้สื่อข่าว สำนักข่าวอิศรา
ข้อเท็จจริงเบื้องต้นจาก 2 ฝ่าย
" ตั้งแต่ปี 2552-2554 อุทยานฯได้ปฏิบัติการตามยุทธการผลักดัน 5 ครั้ง โดยครั้งแรกเข้าไปพูดคุยทำความเข้าใจกับชาวกะหร่างให้เข้าใจว่า เป็นผู้บุกรุกเข้ามาตัดโค่นต้นไม้ทำให้ป่าเสื่อมโทรม ขอให้ออกไป คิดว่าคงได้ผลแต่ไปดูอีกทีก็ยังมีการบุกรุกอยู่เหมือนเดิม เข้าใจว่าคงไม่ไปแน่คงต้องอพยพ ครั้งที่ 3 ชาวกะหร่างก็ยังอยู่เหมือนเดิมอีก จึงสั่งการให้รื้อบ้านทิ้ง 5 หลัง ครั้งที่ 4 ได้ไปกับทหาร ใช้ ฮ.บินเข้าไป ผมสั่งให้เผาบ้าน 5 หลังนั้นที่รื้อไว้ ส่วนชาวบ้านไม่อยู่ คงอยู่แถวๆนั้น ครั้งที่ 5 พบอีก 22 จุด ที่มีการบุกรุกทำไร่ พบบ้าน 7 หลัง บ้านยังอยู่ คนยังอยู่แต่คงหนีออกจากบ้าน เข้าใจว่าชาวกะหร่างคงรู้แล้วว่าอยู่ต่อไปในประเทศไทยไม่ได้แล้ว ที่น่าห่วงก็คือมีการพบแปลงกัญชาบริเวณชายแดนและในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน"
นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กล่าวกับสื่อมวลชน ในการเสวนา “ฮ.ตก กับปัญหาอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน" ซึ่งจัดขึ้นที่ห้องประชุมอิศรา อมันตกุล สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ที่ผ่านมา
" ตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา ได้มีการผลักดันชาวกะเหรี่ยง โดยการเผาบ้าน เผายุ้งข้าว และสิ่งปลูกสร้างของชาวกะเหรี่ยง โดยในระหว่างวันที่ 5-9 พ.ค.2544 บ้าน ยุ้งข้าวของชาวกะเหรี่ยงถูกทำลาย 98 หลัง วันที่ 23-26 มิ.ย.เผาอีก 21 หลังใน 14 จุด ทั้งยังมีการยึดทรัพย์สินต่างๆไปด้วย เช่นมีด ขวาน เคียว สร้อยลูกปัด กำไรข้อมือ รวมทั้งเครื่องดนตรีของชาวกะเหรี่ยง"
“ ปฏิบัติการอพยพ ผลักดัน จับกุมชนกลุ่มน้อยบุกรุกตัดไม้ทำลายป่าชายแดนไทย-พม่า ของอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งชาวกะเหรี่ยงผู้ถูกผลักดันลงมาอยู่ที่บ้านโป่งลึก บางกลอย อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ร้องเรียนไปยังคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และสภาทนายความ ว่ามีการใช้ความรุนแรงเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ทำลายทรัพย์สินของชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิม ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 สิงหาคม 2553 กระทำผิดต่อรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน และยังไม่เป็นไปตามปฏิญญาสากลแห่งสหประชาชาติเรื่องสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งประเทศไทยร่วมลงนาม”
นายสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านชนชาติฯ สภาทนายความ กล่าวในการเสวนา “มติ ครม. วันที่ 3 สิงหาคม 2553 กับสิทธิการอยู่อาศัยของกะเหรี่ยงดั้งเดิมในพื้นที่อุทยานแห่งชาติ แก่งกระจาน” ซึ่งศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และการพัฒนา ร่วมกับเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม จัดขึ้นที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 28 กันยายน ที่ผ่านมา
เตรียมฟ้องอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานต่อศาลปกครอง
ในการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ครั้งที่ 2 บ้านห้วยน้ำหนัก ต.ตะนาวศรี อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ชาวกะเหรี่ยงที่ถูกผลักดันออกจากบ้านใจแผ่นดิน ซึ่งเป็นหมู่บ้านเก่าแก่ของชาวกะเหรี่ยงมากกว่า 100 ปี จากการสำรวจของทางราชการ ได้มอบหมายให้คณะอนุกรรมการฯฟ้องอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ฐานกระทำการละเมิด ทำให้ชาวบ้านได้รับความเสียหาย
“ ชาวบ้านได้พิมพ์ลายนิ้วมือ มอบหมายให้สภาทนายความฟ้องร้อง ในเบื้องต้นจะพิจารณาว่าจะดำเนินการต่ออย่างไร ปลายเดือนนี้ ก็จะลงพื้นที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเข้าไปดูจุดที่ชาวบ้านร้องเรียนว่าถูกเผาบ้าน เผายุ้งข้าว การฟ้องร้องฟ้องได้ทั้งศาลปกครอง ฟ้องทางแพ่งและอาญา ซึ่งการฟ้องศาลปกครอง นายดุสิต สุวรรณวงศ์ ทนายความจะเป็นผู้ร่างคำฟ้อง ส่วนจะฟ้องเมื่อไหร่ จะแถลงต่อสื่อมวลชนอีกครั้งหนึ่ง” นายสุรพงษ์ กองจันทึก กล่าว
คืบหน้าคดียิงแกนนำช่วยเหลือกะเหรี่ยงเสียชีวิต
ทางด้านคดีคนร้ายใช้อาวุธปืนขนาดกระสุน 11 มม.ยิงนายทัศน์กมล โอบอ้อม หรือ “อาจารย์ป๊อด” อายุ 55 ปี แกนนำต่อสู้เพื่อชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานเสียชีวิต ขณะขับรถแวนยี่ห้อจี๊ป รุ่นเชอโรกี สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ภย 4754 กรุงเทพมหานคร ไปตามถนนเพชรเกษม ขาเข้า มุ่งหน้าจังหวัดเพชรบุรี ถึงท้องที่หมู่ 6 ต.ถ้ำรงค์ อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 10 กันยายน ที่ผ่านมา หลังจาก นายทัศน์กมล ออกมาให้ข้อมูลสื่อมวลชนว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ได้ปฏิบัติการเผาบ้าน เผายุ้งข้าว ผลักดันชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมออกจากป่าแก่งกระจานอย่างไร้มนุษยธรรม
ต่อมาจากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่ามีผู้เกี่ยวข้องกับการสังหารนายทัศน์กมลหลายคน และออกหมายจับ นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในฐานะผู้จ้าง วาน ใช้, นายศักดิ์ พลับงาม มือปืน ซึ่งทั้งสองคนได้มอบตัวสู้คดี โดยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและได้รับการประกันตัวไป, นายธวัชชัย เจริญสุข สมาชิกสภาเทศบาล ต.หนองจอก อ.ท่ายาง ผู้รับงาน และ นายชูชัย สุขประเสริฐ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลบางเก่า อ.ชะอำ ผู้เกี่ยวข้องว่าร่วมเป็นมือปืนร่วมสังหารนายทัศน์กมล
ล่าสุด เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา นายชูชัย สุขประเสริฐ ได้เข้ามอบตัวสู้คดี โดยให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขอไปให้ปากคำในชั้นศาล ยังเหลือนายธวัชชัย เจริญสุข ขณะนี้ยังหลบหนีอยู่ การออกหมายจับทุกคนในคดีนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานแน่นหนายื่นขอต่อศาล ศาลพิจารณาแล้วจึงออกหมายจับ ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมั่นใจว่าพยานบุคคล หลักฐานการใช้โทรศัพท์ติดต่อกัน ภาพในโทรทัศน์วงจรปิด และอื่นๆ จะสามารถดำเนินคดีผู้ต้องหาได้อย่างดิ้นไม่หลุดทุกคน